วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ยาดมสมุนไพร

ยาดมสมุนไพร เป็นยาที่จัดอยู่ในประเภทเป็นยาสมุนไพรประจำบ้าน  

ยาดมสมุนไพร   เป็นยาที่จัดอยู่ในประเภทเป็นยาสมุนไพรประจำบ้าน ใช้สูดดม ยาดม ใช้สูดดม บรรเทาอาการวิงเวียน หน้ามืด ตาลาย เป็นหวัด คัดจมูกซึ่งมีวิธีทำที่ง่ายหาสมุนไพรได้สะดวก  สามารถทำเพื่อจำหน่ายเป็นรายได้เสริมได้
กลุ่มสาระการเรียนรู้  การงานอาชีพและเทคโนโลยี    ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
วัสดุ อุปกรณ์
       
1. การบูรเกล็ด 1  ขีด  การบูรมีลักษณะเป็นเกล็ดเล็กๆ สีขาว มีสรรพคุณ ขับลม แก้จุกเสียดแน่นเฟ้อ แก้ปวดท้อง  ขับเหงื่อ ทาแก้เคล็ดบวม ขัดยอก แพลง แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย และโรคผิวหนังเรื้อรัง
   

 
 
        2. เมนทอล  3  ขีด  เมนทอลมีลักษณะเป็นผลึกสีขาว กลิ่นหอมเย็นมีสรรพคุณใช้เป็นยาภายนอกเกี่ยวกับการลดอาการปวดเมื่อย ฆ่าเชื้อ และใช้เป็นยาขับลม ที่ให้ความเย็นซาบซ่า
 

        3.   พิมเสน 1  ขีด พิมเสนมีลักษณะเป็นเกล็ดเล็กๆ สีขาวขุ่น สรรพคุณของพิมเสน  มีกลิ่นหอมเย็น ใช้สูตรดมแก้ลมวิงเวียน ทาภายนอกแก้เคล็ดขัดยอก

        4.  กานพลู  1  ขีด   กานพลู มีกลิ่นหอมจัด มีน้ำมันหอมระเหยมาก  มีสรรพคุณ ช่วยขับลม แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง และแน่นจุกเสียด 
        5.  ดอกจันทน์เทศ  1  ขีด   ดอกจันเทศมีสรรพคุณ ใช้แก้ลม ขับลม แก้บิด บำรุงผิวหนัง


        6.  พริกไทยดำ 1  ขีด  พริกไทยดำมีสรรพคุณช่วยขับลม ขับเสมหะ ขับเหงื่อ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้อาการอาหารไม่ย่อย

        7.  โกศหัวบัว   1  ขีด  โกศหัวบัวสรรพคุณแก้ลมในกองริดสีดวง ขับลมในลำไส้  ขับลม แก้ลม บำรุงโลหิต 
        8.  กระวาน   2  ขีด  กระวานรสเผ็ดร้อน กลิ่นหอม มีฤทธิ์ในการขับลม  และฤทธิ์ในการยับยั้ง การเจริญของเชื้อแบคทีเรียบางชนิด  แก้ลมเจริญอาหาร รักษาโรค รำมะนาด แก้ลมจุกเสียดแน่นเฟ้อ แก้ลมสันนิบาต
 
ขั้นตอนการปฏิบัติงาน        ขั้นที่ 1   ขั้นเตรียมพิมเสนน้ำ    
            1. นำส่วนผสมทั้ง  3 ชนิด  คือ เมนทอล  3 ส่วน พิมเสน  1 ส่วน   การบูร  1 ส่วนเทผสมรวมกันในภาชนะสำหรับผสมสาร
            2. ใช้ไม้พายเล็กคนให้ส่วนผสมทั้งหมดละลายเป็นของเหลว (ถ้าไม่ใช้ไม้คนอาจใช้วิธีการเขย่าขวดให้ส่วนผสมละลายก็ได้)
            3. นำพิมเสนที่ได้บรรจุขวดปากกว้างปิดฝาพักไว้
        ขั้นที่ 2 ขั้นเตรียมสมุนไพร
            1.  นำสมุนไพรทั้ง 5 ชนิด ในที่นี้ประกอบด้วย กานพลู  ดอกจันทน์เทศ   พริกไทยดำ  โกศหัวบัว   กระวาน ใส่ภาชนะรวมกันผสมคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน


            2  น้ำสมุนไพรที่ได้ใส่ในขวดปากกว้างที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 1 ปิดฝาขวดให้สนิท
            3.  แช่สมุนไพรในพิมเสนน้ำ 1  คืน
            4.  นำส่วนผสมที่ได้บรรจุในขวดมีฝาปิดเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป

ข้อเสนอแนะ
          1.  ยาดมสมุนไพรอาจใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆที่มีคุณสมบัติตามต้องการของแต่ละบุคคลได้
          2.  ผู้ผลิตยาดมสมุนไพรควรศึกษาคุณสมบัติของสมุนไพรแต่ละชนิดเพื่อนำไปใช้ได้ถูกต้องและไม่เป็นอันตราย
          3. ยาดมสมุนไพรสามารถเติมกลิ่นลงไป เพื่อให้ได้กลิ่นที่แปลกใหม่ เช่น กลิ่นมะลิ กลิ่นกุหลาบ เป็นต้น
          4. ผู้ผลิตอาจจะบรรจุยาดมสมุนไพรในขวดหรือภาชนะที่แปลกใหม่เพื่อเป็นการดึงดูดใจให้อยากซื้อหา

ข้อควรระวัง        1. ควรใช้อย่างระมัดระวังไม่ควรให้เข้าตา จะทำให้แสบตาได้
        2. ควรวางยาดมสมุนไพรให้พ้นมือเด็ก
    

ประโยชน์ของยาดมสมุนไพร
        1. ใช้สูดดม ยาดม ใช้สูดดม บรรเทาอาการวิงเวียน หน้ามืด ตาลาย เป็นหวัด คัดจมูก
        3. ทำเป็นของชำร่วย ใช้แจกในงายพิธีต่างๆ เช่น งานศพ
        4. เป็นการเพิ่มรายได้หรือทำเป็นอาชีพเสริม

การประเมินราคาผลงาน  (จะต้องคำนวณราคาทุน กำไร ราคาขาย)
        การคิดราคาคำนวณ ผู้ขายจะต้องคิดจากราคาสินค้าทั้งหมดรวมกับค่าสึกหรอของเครื่องใช้ ค่าแรง ค่าขนส่ง ค่าพาหนะ ค่าน้ำค่าไฟ
        การคิดกำไร ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ผลิต เช่น กำไร 40/50/หรือ60/
        การกำหนดราคาขาย จะต้องคิดต้นทุนทั้งหมดบวกด้วยกำไรที่ต้องการ ที่จะเป็นราคาขาย

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

น้ำหอมในบ้าน

กลิ่นหอมภายในบ้าน

 คุณทราบหรือไม่ว่ากลิ่นหอม (fragrance) ซึ่งปัจจุบันกำลังเป็นที่นิยมนำมาใช้บำบัดความเครียด ความอ่อนล้าของร่างกายจากการทำงาน ที่รู้จักหรือเรียกกันว่า Aromatherapy นั้น ก็ส่วนหนึ่งของการตกแต่งบ้านมาตั้งแต่สมัยโบราณ ตัวอย่างเช่น การจุดกำยานของจีน , อินเดียมีการใช้เครื่องหอมในห้องนอน , หรือการนำดอกไม้หอมไม่ว่าจะเป็นดอกมะลิ ดอกจำปีจำปา มาร้อยประดับตกแต่งภายในบ้านของคนไทยสมัยโบราณ จากการศึกษาเรื่องกลิ่น คนเราจะใช้เวลาเพียง 2 วินาทีในการรับรู้กลิ่นผ่านทางจมูก เดินทางไปยังสมอง รับรู้และตอบสนองต่อกลิ่นนั้น ๆ เช่น กลิ่นหอมของดอกมะลิยามเช้าจะทำให้รู้สึกสดชื่น ในขณะที่กลิ่นอาหารเช้าทำให้เกิดความรู้สึกหิว มีการศึกษาเรื่องของกลิ่นสัมพันธ์กับอารมณ์ การรับรู้ทำให้เกิดผลกับความรู้สึกของร่างกายมนุษย์ แต่ละกลิ่นจะให้ความรู้สึกแตกต่างกัน 
 
บางกลิ่นให้ความรู้สึกสงบ มีสมาธิ เช่นธูปจึงนิยมใช้ในพิธีทางศาสนา บางกลิ่นช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย ช่วยให้นอนหลับสบาย บางกลิ่นให้ความรู้สึกสดชื่น ช่วยให้รู้สึกกระฉับกระเฉง สามารถทำงานได้ดีและต่อเนื่อง
 

ปัจจุบันจึงมีการศึกษาเรื่องกลิ่นและนำมาใช้ภายในบ้านช่วยส่งเสริมให้ผู้อาศัยมีสุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจ
เราควรจะดูแลจัดบ้านให้เรียบร้อย หมั่นทำความสะอาดเป็นประจำ ถ้ามีเวลาก็เพิ่มการตกแต่งให้เกิดบรรยากาศอบอุ่น และเป็นกันเอง ถ้าเพิ่มกลิ่นที่หอมสะอาดก็จะทำให้ผู้อยู่ในบ้านรู้สึกสดชื่น ยิ่งถ้าคุณมีแขกมาที่บ้าน บรรยากาศภายในบ้านก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดความประทับใจ
ดอกไม้หรือต้นไม้ที่มีกลิ่นหอม สิ่งที่หาได้ง่ายที่สุดและเป็นธรรมชาติ คือการตัดดอกไม้สดที่มีกลิ่นหอมจากสวนคุณเอง ไม่ว่าจะเป็น ดอกแก้ว กุหลาบ ปีบ พุดซ้อน มะลิ มาปักแจกัน หรือใส่ถาดลอยน้ำ เท่านี้ห้องของคุณก็จะดูสดชื่น พร้อมกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากดอกไม้สด ไม่ยากเลยใช่ไหมค่ะ
 

เทียนหอม เป็นที่นิยมและสามารถหาได้ทั่วไป เมื่อจุดให้แสงอ่อน ๆ และกลิ่นหอมทั่วห้อง มี 2 แบบคือ แบบมีกลิ่นหอมอยู่ในตัว และแบบสเปร์หรือหยดน้ำมันหอม สามารถเลือกกลิ่นที่คุณชอบได้ ให้กลิ่นประมาณ 1 - 2 ชั่วโมง เปลือกมะนาวหรือมะกรูด เปลือกทั้ง 2 ชนิดจะทำหน้าที่ใกล้เคียงกันคือ ดูดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์และให้กลิ่นหอมอ่อนสดชื่น เพียงคุณหาถ้วยหรือภาชนะประเภทพานใบย่อม ใส่เปลือกมะกรูดที่คั้นน้ำแล้ว 3 - 4 ชิ้น นำไปวางบริเวณที่อากาศไม่ค่อยถ่ายเท จะช่วยดูดกลิ่นอับชื้น เหมาะสำหรับห้องครัว (จะมีกลิ่นจากการประกอบอาหาร กำจัดยาก) และห้องน้ำ ให้กลิ่นหอมอ่อน ๆ
ถ้าพิจารณาดูดี ๆ ไทยเราก็มี วัฒนธรรมเกี่ยวกับเครื่องหอมมาตั้งแต่สมัยโบราณ ไม่ว่าจะเป็น มาลัยดอกมะลิสด หรือน้ำอบที่มีกลิ่นหอมดอกไม้จาง ๆใช้ประพรมในงาน การนำเครื่องหอมมาใช้จึงไม่ใช่ของใหม่เสียทีเดียว และในปัจจุบันก็มีผลิตภัณฑ์เครื่องหอมต่าง ๆ มาให้เลือกใช้มากมาย ตอนต่อไปจะพูดถึงการใช้กลิ่นหอมสำหรับห้องต่าง ๆ ภายในบ้าน

 

ปัจจุบันได้มีการผลิตน้ำหอมที่ใช้ภายในบ้าน สำหรับห้องต่างๆ ง่ายและสะดวกสำหรับบุคคลที่ไม่มีแม่บ้าน หรือต้องการความเร่งรีบในแต่ละวัน ซึ่งกลิ่นแต่ละกลิ่นก็มีให้เราได้เลือกหลากหลายมากมายทีเดียว
     
แต่งแต้มอารมณ์ของคุณด้วยสเปรย์น้ำหอมปรับอากาศ สำหรับห้องต่างๆ ในบ้านคุณ 
ห้องน้ำ:( Bath room)
417 146 Hyncinth & Lily
ให้ความรู้สึกสดใสร่าเริงกับห้องน้ำของคุณด้วยกลิ่นดอกไม้ จากการผสมผสานกัน ระหว่างพันธุ์ไม้ตระกูล Hyacinth และลิลลี่ตระกูล Cyclamen ร่วมกับกลิ่นไลม์ และมะนาวให้ความรู้สึกสดชื่นและช่วยลดกลิ่นน้ำยาฆ่าเชิ้อในห้องน้ำได้
 

ห้องทำงาน:( Study room)
417 147 Mint & Jasmin
เปอเปอร์มินท์เป็นน้ำมันหอมระเหยจากพืชพรรณธรรมชาติ เหมาะสำหรับการเรียนหรือการทำงาน เปอเปอร์มินท์จะช่วยกระตุ้นสมองคุณและช่วยทำให้สมองคุณปลอดโปร่ง อีกทั้งกลิ่นมะลิที่จะช่วยในการตัดสินใจที่ดีขึ้น
 

ห้องครัว:( Kitchen room)
417 148 Citrus & Spice
ไอร้อนจากการทำอาหารทำให้เกิดกลิ่น คุณ
แก้ไขโดยกลิ่นแนว citrus และ spicy กลิ่นส้มแมนดารินและมะนาวช่วยสร้างบรรยากาศให้สดชื่น กลิ่นอบเชยและโป๊ยกั๊กช่วยสร้างบรรยากาศให้รื่นเริงขึ้น

  

ห้องนอน:( Bed room)
417 149 Lavender & Rose
ห้องนอนเป็นที่พักผ่อนหลังจากการทำงานหนักมาตลอดวัน กลิ่นลาเวนเดอร์ช่วยทำจิตใจคุณให้สงบ ช่วยฟื้นฟูร่างกายและจิตใจของคุณ กลิ่นกุหลาบช่วยประสานร่างกายและอารมณ์คุณให้มั่นคงยิ่งขึ้น ทำให้การการนอนเป็นการพักผ่อนที่ดีเยี่ยมตลอดทั้งคืน

  
ห้องนั่งเล่น:( Living room)
417 150 Lily of the Valley & Citrus
ให้ความร่าเริงกับห้องนั่งเล่นของคุณโดยละอองจาก Lily of the valley และแนวกลิ่น citrus จากมะนาวและมะกรูด มะกรูดมีคุณสมบัติช่วยให้จิตใจคุณสงบ ทั้งเรื่องความกังวลและความตึงเครียดจากงาน คุณจะพบกลิ่นไอที่ผ่อนคลายและหายกังวล

การใช้น้ำหอมหน้าร้อน

เคล็ดลับใช้น้ำหอมหน้าร้อน
หลายคนคงจะชื่นชอบในความหอมของน้ำหอมในหน้าร้อนนี้ ซึ่งมีให้เลือกมากมายหลายกลิ่น หลายยี่ห้อ แต่เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่า อุณหภูมิที่ร้อนแรงอย่างนี้อย่างบ้านเราส่งผลให้กลิ่นหอมที่เพื่อนๆ ใช้อยู่เปลี่ยนไปได้ และอาจเปลี่ยนจากกลิ่นหอมที่ชวนหลงใหลเป็นกลิ่นที่ไม่พึงปรารถนา เรามารู้เคล็ดลับการใช้น้ำหอมหน้าร้อนกันเถอะเพื่อส่งความหอมให้ทั่วเรือนกายอย่างไม่ผิดเพี้ยน และเป็นที่พึงปราถนาให้กับคนรอบข้างด้วย
สำหรับหน้าร้อนนี้การเลือกใช้น้ำหอม ควรเลือกลิ่นน้ำหอมแนวสดชื่น เย็นสบาย กลิ่นอ่อนๆ ไม่ฉุนจนเกินไป อาทิ น้ำหอมที่มีส่วนผสมจาก orange blossom, pear, mint, ginseng และ ginger
หากคุณเป็นคนผิวมัน ความร้อนจากอุณหภูมิที่ร้อนแรงจะยิ่งสามารถกระจายกลิ่นน้ำหอมที่คุณใช้ได้แรงกว่า และมากกว่าสภาพผิวอื่นๆ  เพราะฉะนั้นในหน้าร้อนนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณควรเลือกกลิ่นน้ำหอมที่อ่อน ๆ เมื่อฉีดจะได้ไม่ฉุนจนเกินไป
หากเกรงว่ากลิ่นน้ำหอมที่ใช้อยู่นั้นจะแรงไป ให้หยดน้ำหอมใส่สำลีเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อแทน  เพื่อให้กลิ่นหอมอยู่กับเรา และอยู่ได้นานๆ ด้วย หรือ
เติมกลิ่นหอมให้สัมภาระในกระเป๋าหรือผ้าเช็ดหน้า โดยการเอาของที่อยากให้มีกลิ่นหอมมาใส่รวมในกล่องที่ปิดฝาได้ แล้วฉีดน้ำหอมใส่สำลีก้อน แล้วใส่ลงไปในกล่องปิดฝาอบกลิ่นเอาไว้ วิธีนี้ใช้ได้กับเสื้อผ้าในตู้ด้วย ดีกว่าพรมน้ำหอมลงไปบนเสื้อทำให้เกิดรอยด่างที่เสื้อได้   
ฉีดน้ำหอมใส่ฝ่ามือ เวลาจับมือใครจะได้หอมๆ และชวนสัมผัส เพราะหน้าร้อนบางคนจะมีเหงื่อออกที่ฝ่ามือจึงอาจส่งกลิ่นที่ไม่พึงปรารถนาได้
ในกรณีน้ำหอมแบบแต้ม ควรใช้ Cotton Bud แตะน้ำหอมจากปากขวดแทนนิ้วมือ แล้วไปแต้มตามบริเวณจุดชีพจรต่าง ๆ บนร่างกาย เพราะกลิ่นน้ำหอมในขวดจะเปลี่ยนได้ หากได้รับความร้อนจากอุณหภมิจากนิ้วมือของเรา
ถ้าอยากหอมไปทั้งวัน แนะนำให้ใช้ Shampoo, Shower gel, deodorant ที่มีกลิ่นเดียวกับน้ำหอม จะช่วยให้ความหอมอยู่ได้นานมากยิ่งขึ้น
และในหน้าร้อนนี้ เหงื่อออกมาทั่วเรือนกายไม่เว้นแม้แต่เหงื่อบนหนังศีรษะ ดังนั้นเพื่อคงความหอมทั่วเรือนกาย ให้ฉีดน้ำหอมที่ผมโดยห่างประมาณ 1 ฟุต โดยใช้กลิ่นเดียวกับกลิ่นหอมที่ฉีดที่ตัว หรือฉีดสเปรย์น้ำหอมกลิ่นเดียวกันลงบนแปรงหวีผม สเปรย์ห่าง ๆ พอให้ละอองจับบนแปรง แล้วค่อยบรรจงหวีผม แต่แอลกอฮอล์ต่าง ๆ ในน้ำหอมอาจทำให้ผมเสียได้ เพราะฉะนั้นต้องหมั่นทรีตเม้นผมเป็นประจำด้วย

เพียง 8 ข้อนี้กับเคล็ดลับการใช้น้ำหอมหน้าร้อน คุณก็จะเป็นคนที่ใครๆ ปรารถนาอยากจะใกล้ชิดแล้วหละ ด้วยกลิ่นที่ชวนหลงใหลรับฤดูร้อนนี้

น้ำหอมไทย

น้ำหอมไทยโบราณ
ไม่ว่าเวลาจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัย กลิ่นกายที่หอมกรุ่นก็ยังเป็นเสน่ห์ทางกาย และเสน่ห์ทางเพศอันบุรุษและสตรีพึงปรารถนา นับตั้งแต่บรรพบุรุษของเราได้ค้นพบการทำเครื่องหอมจากธรรมชาติ อาทิ น้ำอบ น้ำปรุง แป้งร่ำ แป้งพวง สีผึ้งทาปาก แป้งขมิ้น มาใช้ปรุงแต่งกลิ่นกายให้หอมหวนรัญจวนใจ
เมื่อมีการพัฒนาเทคโนโลยีจากแป้งร่ำที่เคยผัดบนหน้าให้นวลผ่องก็เปลี่ยนมาเป็นแป้งฝุ่นที่สาวๆใช้ตบให้หน้าขาวเด้ง สีผึ้งที่มีให้เลือกไม่กี่สีพัฒนาเป็นลิปสติกหลากเฉดสีให้เลือก กระทั่งน้ำอบ น้ำปรุงที่คนสมัยก่อนใช้ประพรมร่างกาย เสื้อผ้า หรือนำไปใส่บุหงาเพิ่มความหอมเปรียบเสมือนน้ำหอมโบราณก็ค่อยๆหายไป กลายเป็นว่าน้ำหอมต่างประเทศเริ่มเข้ามาเป็นที่นิยมแทนที่
อย่างไรก็ตามยังมีกลุ่มคนที่นิยมของไทยและหลงใหลในกลิ่นของพันธุ์พฤกษา หวนกลับมาให้ความสำคัญกับ "น้ำปรุงดอกไม้"หรือน้ำหอมโบราณของไทย อนุรักษ์ความหอมแบบไทยให้คงอยู่โดยมีกลิ่นอันแสนรัญจวนไม่แพ้น้ำหอมต่างประเทศ
น้ำหอมโบราณจากดอกไม้สด
น้ำปรุงดอกไม้ หรือน้ำหอมโบราณของไทย ใช้ความหอมของดอกไม้หอมหลากหลายชนิด ผสมกับสมุนไพรไทย เช่น พิมเสน ผิวมะกรูด ใบเตย แพร่อานุภาพความหอมไปพร้อมกับการบำรุงสุขภาพ ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ทำให้น้ำปรุงแตกต่างไปจากน้ำหอมต่างประเทศ ซึ่งมีเพียงหัวน้ำหอมสกัดนำมาผสมกันเท่านั้น
เกศภนิศรณ์ เหล่าสินชัย คุณแม่ลูก 2 เจ้าของผลิตภัณฑ์เกศศณีศ์ ผู้หลงใหลในกลิ่นหอมของดอกไม้อันเป็นแรงบันดาลใจให้ศึกษาความเป็นมาและขั้นตอนวิธีการทำน้ำปรุงดอกไม้ไทย
"น้ำหอมต่างประเทศราคาแพง ชอบกลิ่นดอกไม้ไทยๆ หอมสดชื่นจึงเริ่มศึกษาวิธีการทำน้ำปรุงอยู่ 2 ปี กระทั่งปี 2547 จึงหันมาทดลองทำน้ำปรุงเอง แรกๆก็หาวัสดุใกล้ตัว มีด เขียง ผ้าขาวบาง กลีบดอกไม้หอมของไทย"
หญิงสาวค่อยๆอธิบายวิธีการสกัดหัวน้ำหอมจากดอกไม้แต่ละชนิดตรงหน้าให้ฟังว่า
"กุหลาบมีหลายพันธุ์ ไม่นิยมกุหลาบขาว ใช้กุหลาบแดงแบบหอม สกัดเอาสีและกลิ่น ส่วนกุหลาบแดงแบบที่กลิ่นไม่หอมสกัดเพื่อเอาสีอย่างเดียว โดยค่อยๆเด็ดกลีบดอกระวังไม่ให้ช้ำจนหมด นอกจากกลีบดอก กระเปาะเต็มไปด้วยเกสรดอกไม้สามารถนำไปใช้ได้"
"ดอกมะลิ คัดดอกไปลอยน้ำแช่ทิ้งไว้ตอนกลางคืน โดยไม่ให้ชิดกันมาก พอรุ่งเช้าดอกบานก็ตักทิ้ง แล้วนำดอกมะลิชุดใหม่โรยแช่ทิ้งไว้ เย็นใส่ใหม่ รุ่งเช้านำออกมาทำซ้ำกัน 3 ครั้งจะได้น้ำดอกมะลิหอมๆทำเป็นส่วนผสมของน้ำปรุง ดอกปีบแช่น้ำก็มีกลิ่นหอม ช่วงเย็นๆการเวกกำลังออกดอกส่งกลิ่นหอมก็เก็บมาแช่ไว้"
ดอกไม้หอมอย่างอื่นที่โบราณนำมาสกัดเป็นหัวน้ำหอมกลิ่นต่างๆได้แก่ ดอกปีบ กระดังงา ราชาวดี พิกุล ลำเจียก ซึ่งหญิงสาวบอกว่าปัจจุบันลีลาวดีหรือดอกกล้วยไม้ก็สามารถนำมาสกัดหัวน้ำมันหอม แต่ได้ในปริมาณไม่มากเช่นเดียวกับดอกบัว ในจำนวนดอกไม้หอมทั้งหมด ดอกจันทน์กะพ้อจัดว่าหายากออกดอกเพียงปีละครั้งจึงนำมาแช่แอลกอฮอล์ทิ้งไว้จนเหลืองส่งกลิ่นหอมจึงจะนำออกมาเก็บใส่กระปุกเก็บไว้รอนำออกมาปรุง
เกศภนิศรณ์ชี้ไปยังขวดโหลขนาดต่างๆกันภายในบรรจุน้ำสมุนไพร พิมเสน ชะมดเช็ด เรียงรายเป็นระเบียบข้างๆขวดบรรจุหัวน้ำหอมดอกไม้ไทยกลิ่นต่างๆ พร้อมกับอธิบายว่าทั้งหมดคือส่วนผสมหลักในการทำน้ำปรุงดอกไม้
หญิงสาวคนเดิมอธิบายต่อไปพร้อมกับลงมือสาธิตให้การทำน้ำปรุงให้ดู เริ่มจากขั้นตอนการสกัดน้ำสมุนไพรจากใบเตยและผิวมะกรูด เลือกใบเตยชนิดหอม ใบแก่ๆมาหั่นขนาด 1-2 เซนติเมตร แช่ทิ้งไว้ในน้ำแอลกอฮอล์ประมาณ 1-2 ชั่วโมง จึงตักออกมาพร้อมกับใส่ใบเตยชุดใหม่ลงไป หากต้องการกลิ่นหอมมากก็ทำซ้ำกันหลายครั้ง จากนั้นหั่นผิวมะกรูดลงไปแช่ 2-3 ครั้ง จึงกรองออกมาก็จะได้น้ำแอลกอฮอล์สีขาวเป็นสีเขียวเข้ม
ขั้นตอนต่อไปใส่พิมเสนลงในน้ำสมุนไพร จากนั้นใช้ไม้จิ้มชะมดเช็ดขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียวใส่ลงไปในใบพลูพร้อมกับผิวมะกรูด เพื่อทำการสะตุหรือการฆ่าเชื้อให้สะอาด
"ชะมดเช็ดขวดนิดเดียว 15 กรัมราคาพันกว่าบาท" เกศภนิศรณ์เล่าให้ฟัง ขณะที่ใช้เทียนลนไฟใต้ใบพลู เมื่อชะมดเช็ดละลายคะเคล้าผิวมะกรูด เปลี่ยนจากกลิ่นเหม็นคาวส่งกลิ่นหอมโชยมาแตะจมูกเป็นสัญญาณให้หยุดการลน พร้อมกับใส่ลงไปในน้ำสมุนไพร
ขั้นตอนหลังจากนี้เป็นการนำเอาน้ำสมุนไพรดังกล่าวมาผสมกับหัวน้ำหอมดอกไม้ ส่วนจะเป็นกลิ่นอะไรบ้างนั้นขึ้นอยู่กับนาสิกในการรับกลิ่นของแต่ละคนว่าจะชอบกลิ่นไหน บางคนอาจจะใส่กลิ่นเดียว หรืออาจจะนำเอาหลายๆกลิ่นมาผสมเข้าด้วยกัน แล้วจึงเขย่าให้เป็นเนื้อเดียวกัน ทิ้งไว้ 1 เดือนเพื่อให้หมดกลิ่นแอลกอฮอล์ นำมากรองให้ใส ใส่ขวดบรรุจุภัณฑ์เพื่อความสวยงาม
เพื่อความพิเศษกว่าน้ำหอมน้ำปรุงทั่วไป เกศภนิศรณ์ เผยว่าเธอได้นำเอาว่านสาวหลง ซึ่งเป็นว่านสิริมงคล แถมยังมีกลิ่นหอมใส่รวมไปด้วย "คิดว่าทำแล้วก็น่าจะทำไม่เหมือนใคร มีทั้งความหอมและเป็นสิริมงคลอยู่ในตัว"
เมื่อนำไปวางจำหน่าย น้ำปรุงที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้ามากที่สุดคือกลิ่นดอกไม้รวม รองลงมาคือกลิ่นดอกราชาวดี และกลิ่นดอกปีบ
"คนส่วนใหญ่ชอบน้ำหอมต่างประเทศ คนสมัยใหม่พอเห็นน้ำปรุงดอกไม้ไทยก็จะงงว่าคืออะไร แต่เท่าที่ลูกค้าตอบรับกลับมาก็ดี บางคนซื้อไปแตะเสื้อติดทั้งวัน หรืออย่างกลุ่มแม่บ้านเกษตรนิยมนำไปฉีดผ้าไหม กลับมาเล่าให้ฟังว่าเป็นที่ชื่นชอบของฝรั่ง ไปขายรามคำแหง เด็กวัยรุ่นชอบมาก ซื้อแล้วกลับมาซื้ออีก บางคนซื้อขวดเล็กขวดละ 40 บาทกลับไปหลายแพ็ก บางคนสั่งซื้อขนาด 20 ซีซี หรือ แพ็กคู่ 350 บาทถือว่าแพงสุดในร้าน ยอดขายถือว่าพออยู่ได้ ถ้ามีการตลาดดีๆคงเพิ่มยอดขาย" หญิงสาวเผยความในใจทิ้งท้ายว่า "ทำตรงนี้ภูมิใจที่ได้อนุรักษ์ของไทยๆ มันเป็นของไทยที่คนลืมไปแล้ว เรามารื้อฟื้น"
น้ำปรุงดอกไม้กลิ่นอโยธยา ล้านนา ฯลฯ
จันทนา ภู่เจริญ อาจารย์คณะคหกรรม วิทยาลัยอาชีวศึกษา พระนครศรีอยุธยา เป็นอีกคนหนึ่งที่สนใจศึกษาเรื่องของเครื่องหอม ส่วนหนึ่งในวิชาที่เธอใช้สอนลูกศิษย์ กระทั่งปรุงออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ "บ้านเก้ากลิ่น"
"ทำมา 10 กว่าปี โดยหน้าที่เป็นครูสอนวิชาเครื่องหอม ประกอบกับช่วงที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศฉลองอยุธยาเป็นมรดกโลก จึงได้ค้นคว้าเรื่องเครื่องหอมอย่างจริงๆจังๆ พบว่ามีมาตั้งแต่อยุธยา ตอนกลาง แต่เป็นการกล่าวถึงน้ำอบปรากฏในวรรณคดี ใบลาน ช่วงบ้านเมืองเจริญใช้น้ำอบไทย อบร่ำสไบ เจ้านายในวังนิยมใช้อบผ้า พอถึงรัตนโกสินทร์ตอนกลางมีการติดต่อสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ พร้อมกับนำเข้าแอลกอฮอล์ พัฒนาจากน้ำอบมาเป็นน้ำปรุง"
อาจารย์จันทนาอธิบายการทำน้ำอบ เครื่องหอมในสมัยโบราณต่อไปว่า " อยุธยาใช้ความร้อนเรียกว่าอบร่ำ พอถึงรัชกาลที่ 5 ถึงเริ่มมีการกลั่นได้รับอิทธิพลจากฝรั่งเศส บีบคั้นกับพืชที่มีเปลือกค่อนข้างหนา กลิ่นออกมาตามเซลล์ของผิว เช่นมะกรูด การใช้ความร้อน เช่นกระดังงา เอาไฟไปลนกระเปาะใต้กลีบให้ละลายน้ำมันหอมออกมา การใช้ไขมันวัวบริสุทธิ์ดูดกลิ่นดอกไม้ และพัฒนาการล่าสุดกับวิธีการใช้คาร์บอนไดออกไซด์เหลวเป็นที่นิยมเพราะให้ปริมาณของกลิ่นเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ราคาแพง"
จากปี 2530 ที่เธอเริ่มทำหน้าที่แม่พิมพ์ จำนวนดอกไม้ที่ใช้สอนมีเพียง 9 ชนิดได้แก่กุหลาบ มะลิ ลำเจียก พิกุล ชำมะนาด กระดังงา ดอกแก้ว พุทธชาด พิกุล จันทน์กะพ้อ ปัจจุบันเธอบอกว่าเพิ่มขึ้นเป็น 50-60 กว่าชนิด อย่างไรก็ตามเพื่อให้ทันกับความต้องการของตลาด ซึ่งต้องใช้ดอกไม้สดจำนวนมากด้วยเหตุนี้การนำดอกไม้สดมาใช้จึงมีให้เห็นน้อยลง คุณสมบัติของน้ำปรุงที่ดีต้องมีลักษณะสีเขียวใสมรกต มีกลิ่นหอมเย็น ไม่มีตะกอน กลิ่นติดทนนานเกิน 1 ชั่วโมง
"ใช้ดอกไม้จริงทำเป็นธุรกิจไม่ทัน กุหลาบ 1 ตันสกัดน้ำมันหอมระเหยได้ 2.2 กิโลกรัม จึงใช้ดอกไม้น้อยลง หันมาซื้อหัวน้ำมันสกัดสำเร็จมาปรุงแทนดอกไม้ไทยเดี๋ยวนี้ใช้โครงสร้างกลิ่น เลียนแบบดอกไม้จริงโดยใช้โครงสร้างทางเคมี ประกอบด้วย คาร์บอนไดออกไซด์ ออกซิเจน ไฮโดรเจน" นอกจากนี้หัวน้ำมันหอมบางชนิดยังต้องนำเข้าจากตุรกีและเมืองน้ำหอมอย่างฝรั่งเศส
เธอเล่าถึงความนิยมน้ำหอมแบบไทยๆว่า "เหมือนแฟชั่นขายได้ทุกกลิ่นพอๆกัน น้ำปรุงขายดีในงานวัฒนธรรม น้ำปรุงไม่นิยมโดด ไม่ใช้กลิ่นดอกไม้โดดๆ แต่จะใช้แต่ละกลิ่นชูโรง หลักๆ 3 กลิ่นตัวน้ำหอม ตัวตามและตัวท้าย ถ้าปรุงผิดกลิ่นเปลี่ยนต้องดูว่าจะให้กลิ่นอะไรนำ กลิ่นอะไรตามท้าย กลิ่นช่วยผสมผสานให้กลิ่นอื่นๆโชยออกมาแล้วปรุงตามนั้น"
"กลุ่มผู้บริโภคมีหลายกลุ่ม วัยรุ่นปรุงกลิ่นทันสมัย กำลังลองผสมผสานการปรุงด้วยดอกไม้ภาคต่างๆออกมาเป็นน้ำหอมตามภาคเช่นกลิ่นภาคเหนือ สุโขทัย อโยธยา ลับแล กลิ่นภาคเหนือเรียกว่ากลิ่นล้านนาปรุงออกมาให้สัมผัสได้ถึงดอกไม้ป่า ไอหมอก ความเย็น ส่วนกลิ่นสุโขทัยจะเป็นกลิ่นของสายน้ำ กลิ่นภาคอีสานยังไม่ได้นำรู้ว่ามีรากฐานวัฒนธรรมมาจากบ้านเชียง ก็จะทำกลิ่นหินดินทราย ตีโจทย์วัฒนธรรมประเพณีในแต่ละภาค รวมถึงดอกไม้ประจำภาคนำมาทำกลิ่นถามว่าใช่น้ำปรุงหรือไม่ คิดว่ากลายๆ ความเชื่อของคนน้ำหอมจะดูดีกว่าน้ำปรุง ซึ่งมองว่าเชยๆโบราณ ความรู้สึกไม่ทันสมัย จึงเรียกชื่อใหม่แต่ก็ยังเป็นน้ำปรุงอยู่ ทำอย่างไรให้คนนิยมของไทย ประกาศให้น้ำปรุงภูมิปัญญาไทยเป็นที่นิยม"
น้ำปรุงดอกไม้ในตลาดน้ำหอม
รวิวรรณ รุ่งเรือง เจ้าของร้านพีรญาแสดงความเห็นถึงความนิยมว่า "น้ำปรุงจริงๆก็คือน้ำหอมของคนโบราณที่ใช้ปะพรมร่างกาย หรือใส่ในบุหงา กลิ่นจะเข้มข้น ให้ความรู้สึกวังเวง บ้างรู้สึกหอมชื่นใจ โบราณเอาดอกไม้มาแช่แอลกอฮอล์ใช้เวลานานเป็นเดือน ปัจจุบันลัดขั้นตอนด้วยการนำเอาน้ำมันหอมมาใช้ผสมกัน ส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้ใช้น้ำมันหอมดอกไม้แทนดอกไม้สด ทำให้เกิดความเพี้ยนจากน้ำปรุงมาเป็นน้ำหอม"
"สงครามโลกครั้งที่ 2 น้ำหอมต่างประเทศเข้ามามาก แทบไม่ต้องโฆษณา เป็นค่านิยมว่าโก้หรู ส่วนใหญ่แทบจะลืมน้ำอบน้ำปรุงกันแล้ว ออกจำหน่ายกลุ่มคนอนุรักษ์ไทยนำไปใช้ พอคนใกล้ชิดได้กลิ่นหอมชื่นใจจึงมาซื้อไปใช้บ้าง วิธีการนำไปใช้โดยหยดใส่ผ้าเช็ดหน้าเพื่อให้เจือจางหอมอ่อนๆ เวลาโชยมาหอมชื่นใจ มีเอกลักษณ์ไทยๆส่วนผสมของมะกรูด ใบเตย พิมเสน เมื่อดมแล้วให้ความรู้สึก โอ้โห้ ไทยมาก ชาวต่างชาตินิยมซื้อเป็นลิตร ซื้อไปกลับมาซื้ออีกถึงกับขอสูตร กลิ่นน้ำปรุงที่นิยมได้แก่กลิ่นจันทร์กะพ้อ กลิ่นรสสุคนธ์ และกลิ่นดอกปีบ"
สำหรับอาจารย์จันทนาแสดงความเห็นทิ้งท้ายถึงความนิยมน้ำหอมดอกไม้ไทยว่า "ขายความเป็นไทย ถือเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ดี ตราบใดที่คนยังติดในรูปรสกลิ่น"

ขวดน้ำหอม

รูปแบบของขวดน้ำหอม
            สมัยเมื่อ 4000 ปีก่อนคริสตกาล ชาวอียิปต์โบราณได้ค้นพบวิธีการผลิตแก้ว และกว่าศตวรรษที่เขาได้มีการพัฒนาเทคนิคต่าง ๆ ในการผลิตขวด โดยการเคลือบส่วนในสุดที่เป็นดินเหนียวที่ติดอยู่ปลายแท่งโลหะด้วยแก้วในขณะที่ถูกหลอมเหลว และเอาแกนดินเหนียวออกในขณะที่แก้วเย็นลงและแข็งขึ้นจวบจนปี 1500 ก่อนคริสตกาล มีการใช้ทักษะในการผลิตขวดแก้วน้ำหอมมากขึ้น ส่วนมากจะใช้ แก้วสีน้ำเงินเข้ม สีโอปอ หรือสีใส ตกแต่งลวดลายเป็นลายเส้นซิกแซ็ก สีน้ำเงิน ขาว เหลือง ในยุคของ Lalique Falcons

            เราอาจเชื่อได้ว่าช่วงเวลานั้นขวดแก้วเครื่องหอมจะต้องเป็นสิ่งของที่หรูหรามาก เฉกเช่นเดียวกับสิ่งที่มันบรรจุอยู่ แต่น้ำหอมได้ถูกผลิตและเก็บรักษาไว้ในภาชนะกว่าร้อยปีมาแล้ว 

            ภาชนะเหล่านี้ที่ถูกผลิตขึ้นมาก่อนหน้านี้ ใน Terra Cotta มีไว้สำหรับใส่ของเหลวที่มีราคา แต่ต่อมาแสดงถึงความมั่งคั่ง โดยแกะสลักจากหินปูน หินโมรา และ porphyry ซึ่งมีคุณสมบัติดีเป็นอย่างยิ่งในการที่สามารถเก็บรักษาความเย็น และชะลอการเกิดการเหม็นหืนของส่วนผสมที่เป็นน้ำมันได้เป็นอย่างยิ่ง


            สารเหล่านี้ได้ถูกใช้ต่อเนื่องมาตั้งแต่ยุคกรีกและโรมัน แต่ในเรื่องของการออกแบบกลับช่ำชองมากยิ่งขึ้น ขวดน้ำหอมของกรีกหลายแบบถูกพบว่าทำเป็นเครื่องเคลือบรูปร่างนก สัตว์ หรือศรีษะของมนุษย์ เป็นต้น จนประมาณ 50 ปีก่อนคริสตกาล ในการพัฒนาการเป่าแก้วในซีเรีย (เป็นการทำให้แก้วเปลี่ยนรูปร่างได้ก่อนที่จะทำให้มันเย็นตัวลง) เป็นช่วงที่มีการใช้เทคโนโลยีเป็นอย่างมาก ยิ่งกว่านั้น เมื่อกรรมวิธีในการทำแก้วให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นด้วยการเป่าแก้วลงในแบบ (mold) เพื่อการผลิตแก้วในรายการที่เหมือน ๆ กันสามารถทำซ้ำกันได้

           ส่วนขวดน้ำหอมของโรมันเป็นขวดแก้วใส ตกแต่งด้วยแก้วสีอีกทีหนึ่ง และมีรูปทรงที่หลากหลาย ตลอดจนการออกแบบที่แสดงให้เห็นถึงมาตราฐานความชำนาญในการทำ แต่สิ่งเหล่านี้มีมูลค่าแพงมาก ผู้คนส่วนใหญ่เก็บรักษาขวดที่มีการเคลือบผิวแบบธรรมดากันไว้ ซึ่งมักเป็นรูปร่างเปลือกหอยที่เป็นดินเผา 

           ในยุคกลางภาชนะโลหะและเครื่องเคลือบกระเบื้องก็เกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้ถูกนำมาผลิตเป็นขวดน้ำหอม จนกระทั่งศตวรรษที่ 18 วัสดุในการผลิตขวดน้ำหอมใหม่ ๆ ก็ถูกนำมาใช้ประโยชน์มากขึ้น เมื่อโรงงานผลิตเครื่องเคลือบของชาวจีนได้ถูกค้นพบขึ้น จากโรงงานที่ Meissen ในเยอรมัน, Sevres ในฝรั่งเศส, Chelsea ในอังกฤษ และ แม้แต่ขวดน้ำหอมที่ทำจากกระเบื้องเคลือบที่ตกแต่งลวดลายต่าง ๆ ก็เริ่มปรากฏเป็นเครื่องประดับบนโต๊ะในบ้านตามสมัยนิยม แต่แก้วยังคงเป็นวัสดุที่โดดเด่นที่สุดในการผลิตขวดน้ำหอม สิ่งหนึ่งก็คือว่า น้ำมันหอมระเหยในน้ำหอมจะเกิดปฏิกริยากับภาชนะที่เป็นเครื่องเคลือบกระเบื้อง (Porcelain) ในทางกลับกันสำหรับภาชนะอื่น ๆ แล้ว ก็ยากที่จะผลิตจุกขวดที่ทำจากกระเบื้องเคลือบ (Porcelain) ให้มีเสถียรภาพได้ ซึ่งจำเป็นต่อการผลิตในโรงงานผลิตที่มีขนาดใหญ่

perfume bottle

ไขความลับในขวดน้ำหอม
ใครจะคิดว่าอุตสาหกรรมน้ำหอมจะทำรายได้ได้ถึงปีละกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญอเมริกันเมื่อก้าวเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ ว่ากันว่า ณ วันนี้ผู้หญิงทั่วโลกใช้น้ำหอมเฉลี่ยถึงคนละ 6 กลิ่น นอกเหนือไปจากน้ำหอมกลิ่น “พิเศษ” ที่แต่ละคนจะไม่ยอมบอกใครเป็นอันขาดถึงน้ำหอมกลิ่นลับสุดยอดของตัวเอง
      
  
Grasse เมืองแห่งน้ำหอมของฝรั่งเศส


       และใช่เพียงแต่ผู้หญิงเท่านั้นปัจจุบันผู้ชายอย่างน้อยกว่าร้อยล้านคนทั่วโลกต่างก็เป็นผู้บริโภคน้ำหอมกันโดยถ้วนหน้า เรียกว่าใช้กันไม่แพ้ผู้หญิงเลยทีเดียว เพราะนอกจากพ่อเจ้าประคุณทั้งหลายจะใช้น้ำหอมกลิ่นอ่อนๆหลังอาบน้ำประเภท eau de toilet แล้ว น้ำหอมหลังโกนหนวดก็ยังเป็นสินค้าที่ขายดีติดอันดับด้วยเช่นเดียวกัน
      
       ตั้งแต่ยุคโบราณมนุษย์เริ่มรู้จักนำเครื่องหอมมาใช้เพื่อระงับกลิ่นกาย ภายหลังการชำระล้างร่างกายก่อนที่จะทำการบวงสรวงเทพเจ้าพื่อให้ร่างกายมีกลิ่นที่สดชื่น และจากการใช้กลิ่นหอมเหล่านี้ผลพลอยได้ก็คือผู้ที่อยู่รอบข้างเมื่อได้กลิ่นก็เกิดความนิยมชมชื่นใช่เพียงแต่เพื่อเทพเจ้าเท่านั้น ผู้ที่ใกล้ชิดที่สุดก็คือผู้เป็นชายาหรือสวามีของผู้ใช้ซึ่งล้วนเป็นบุคคลชั้นปกครองนั่นเอง
      
       จากนั้นได้มีการจำแนกกลิ่นของหอมจากแหล่งที่มาต่าง ๆ ทั้งดอกไม้ พืช ดินบางชนิดไปจนถึงกลิ่นที่มาจากสัตว์ นำมาสกัดและใช้ผสมกับน้ำมันเพื่อสะดวกในการแต่งแต้มไปบนส่วนต่างๆของร่างกาย ซึ่งค้นพบในเวลาต่อมาว่ากลิ่นของน้ำมันหอมจะเปลี่ยนไปตามกลิ่นเหงื่อและอุณหภูมิของผู้ใช้

 
ขวดน้ำหอมสไตล์ฝรั่งเศส

 

       การใช้เครื่องหอมนอกจากจะเป็นการเพิ่มเสน่ห์ให้กับผู้ใช้แล้วยังเป็นการช่วยผ่อนคลายความเครียดและความว้าวุ่นทางอารมณ์ได้ด้วย จึงมีการนำเครื่องหอมมาใช้ในการบำบัดภาวะทางจิตเป็นบางกรณี อันเป็นต้นกำเนิดของการใช้สุวคนธ์บำบัด
      
       การค้าเครื่องหอมเริ่มมีความสำคัญทีละน้อย จากเดิมที่นิยมกันตามท้องถิ่นนั้น ๆ จนเมื่อการคมนาคมเจริญขึ้นทำให้เกิดความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากดินแดนในทวีปต่างๆ การเดินทางของเครื่องหอมได้เพิ่มมูลค่าอย่างไม่มีขีดจำกัด เครื่องหอมเหล่านี้จึงกลายเป็นสินค้าประเภทฟุ่มเฟือยมาแต่โบราณกาล แต่ปริมาณการผลิตยังไม่มากเท่ากับความต้องการของผู้ใช้จึงทำให้การตั้งราคาเป็นไปตามความพอใจของผู้ขายมากกว่าผู้ซื้อ
       ดังนั้นจึงเริ่มมีการนำกลิ่นหอมต่างๆมาผสมขึ้นด้วยกลเม็ดและความชำนาญอันเกิดจากประสบการณ์ ตลาดเครื่องหอมจึงเป็นตลาดของชนชั้นสูงเท่านั้น
      
       การตั้งห้องทดลองเพื่อค้นคว้า สกัดกลิ่น และผสมเครื่องหอมต่างๆเริ่มแพร่หลายในยุคต่อมาจนกระทั่งถึงยุคกลาง จากนั้นในยุคของศตวรรษที่ 16 เริ่มมีการนำน้ำหอมมาผสมกับสารอื่นๆเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ที่ต่างกันออกไป เช่นใช้กับเครื่องเรือน ถุงมือ พัด จนถึงการนำไปผสมกับผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ใช้ในห้องน้ำเช่นสบู่หอม น้ำยาบ้วนปาก

ขวดน้ำหอมทำจากเซรามิกลวดลายงดงาม



       หลังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมยุโรปทั้งทวีปเข้าสู่ยุคทองของเศรษฐกิจที่เจริญก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว ความมั่งคั่งได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งทวีป จึงมีการผลิตน้ำหอมออกสู่ท้องตลาดในผลิตภัณฑ์บรรจุที่งดงาม มีทั้งการออกแบบขวดและภาชนะบรรจุอย่างประณีต มีการนำขวดแก้วเจียรนัยจากหินผลึกทั้งขาวใสและสีต่างๆ ประดับด้วยลวดลายที่เขียนจากทองคำ จนกลายเป็นสินค้าที่หรูหราที่เหล่าสตรีผู้สูงศักดิ์และมั่งคั่งจะต้องเสาะหามาประดับห้องน้ำและโต๊ะกระจกเครื่องแป้ง
      
       นักเคมีชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ปรับปรุงน้ำหอมจากน้ำหอมแบบโบราณให้เป็นน้ำหอมที่ทันสมัยด้วยความรู้และความสามารถ ประกอบกับความพิถีพิถันละเอียดลออ ทำให้น้ำหอมของฝรั่งเศสเริ่มเป็นที่กล่าวขวัญและต้องการในศตวรรษที่ 20 จากการตั้งชื่อกลิ่นของน้ำหอมในเชิงโรแมนติค ทั้งยังมีการออกแบบขวดบรรจุและฉลากปิดที่งดงาม มีการออกแบบที่ละเมียดละไมผิดจากผลิตภัณฑ์อื่น สินค้าเหล่านี้กลายเป็นของที่ระลึกและของฝากที่สตรีทั่วโลกร่ำร้องที่จะเป็นเจ้าของ
อีกรูปแบบหนึ่งขวดน้ำหอม
 

       เมือง Grasse ในแคว้น Provence ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งการผลิตน้ำหอมของฝรั่งเศส กลิ่นหอมจากดอกไม้และพืชนานาชนิดถูกนักผสมน้ำหอมหรือ Le Nez ทำการผลิตจากการผสมกลิ่นหอมต่างๆ และมีการตั้งชื่อด้วยคำจากภาษาวรรณกรรมหรือบุคคลเป็นส่วนใหญ่ จนเริ่มมีร้านขายน้ำหอมเปิดจำหน่ายเป็นร้านเฉพาจากเดิมที่จำหน่ายร่วมกับเวชภัณฑ์ โดยมีการตกแต่งร้านขายน้ำหอมอย่างดงามด้วยกระจกเงาและสีสันที่อ่อนโยน จนทุกคนเป็นต้องเหลียวมองเมื่อเดินผ่าน
      
       เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ทหารต่างชาติทุกชาติทุกหน่วยต่างพากันซื้อน้ำหอมของฝรั่งเศสติดไม้ติดมือกลับบ้านเพื่อเป็นของฝากและของที่ระลึกให้กับภรรยา คู่รัก มารดา และพี่สาวน้องสาว น้ำหมอจึงกลายเป็นสิ่งที่สร้างความพอใจให้ผู้รับทุกคนเป็นอย่างยิ่ง ส่งผลให้บริโภคน้ำหอมของชาวอเมริกันพุ่งขึ้นสูงสุดในยุคร็อค แอนด์ โรล นี้เอง
       และนับแต่นั้นเป็นต้นมาอุตสาหกรรมน้ำหอมในอเมริกาก็เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แม้จะเป็นกลิ่นที่สังเคราะห์ขึ้นด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ แต่ราคาก็ต่างจากน้ำหอมของฝรั่งเศสอย่างมาก จนทำให้น้ำหอมของอเมริกันเริ่มเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย สามารถแบ่งตลาดน้ำหอมของฝรั่งเศสได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ และยังครองใจวัยรุ่นได้เกือบทั่วโลกจากการแพร่ในลักษณะของสื่อแฝงทั้งภาพในสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ และภาพยนตร์
  
จากน้ำหอมต่อยอดมาถึงผลิตภัณฑสปา

       การเติบโตของอุตสาหกรรมน้ำหอมเริ่มจะอิ่มตัวในปลายศตวรรษที่ 20 แต่แล้วการเปิดตัวของ spa และ therapy house ต่างๆได้กลายเป็นตัวกระตุ้นให้ตลาดเครื่องหอมกลับแตกยอดต่อไปได้อย่างงดงาม
       เมื่อผลิตภัณฑ์เครื่องหอมถูกผลิตออกมาในรูปแบบแปลกๆใหม่ ทำให้ยอดของการบริโภคเครื่องหอมเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ และผลิตภัณฑ์ต่างๆล้วนถูกบรรจุในภาชนะบรรจุที่ถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน ผสมผสานกับความรู้ในเชิงจิตวิทยาที่เย้ายวนความต้องการของผู้ชื้อ จนตลาดเครื่องหอมทั่วทั้งโลกถูกกระตุ้นด้วยแรงซื้ออย่างมหาศาลอีกตรั้ง สวนทางกับตลาดสิ่งฟุ่มเฟือยต่างๆอย่างเห็นได้ชัด
      
       ทุกวันนี้ประเทศผู้ผลิตต่างระดมนักวิชาการและนักการตลาด พัฒนาสรรพความรู้และความสามารถอย่างเต็มที่ เพื่อชิงส่วนแบ่งของตลาดสินค้าชนิดนี้ให้ได้มากที่สุด เพราะสินค้าเครื่องหอมยังคงมีอนาคตที่สุดสดใสนั่นเอง

วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2554

ที่มายูคาลิปตัส

ต่อ

ผลิตภัณฑ์สเปรย์หอมปรับอากาศ
“ยูคาลิปตัสเอสเซนเชียล”
ส่วนผสม
1. เมนทอล 100 กรัม
2. การบูร 60 กรัม
3. พิมเสน 40 กรัม
4. เอทิลแอลกอฮอล์ 600 กรัม
5. ยูคาลิปตัสเอสเซนเชียล 4 ออนซ์
วิธีทำ
1. นำพิมเสนกับแอลกอฮอล์ผสมกันแล้วคนให้พิมเสนละลาย
2. เมื่อพิมเสนละลายดีแล้วนำการบูรลงผสม แล้วคนให้การบูรละลาย เสร็จนำเมนทอลลงผสมแล้วคนให้เมนทอลละลาย
3. นำยูคาลิปตัสเอสเซนเชียลลงผสมแล้วคนให้เข้ากัน เสร็จบรรจุภาชนะ
* ภาชนะที่บรรจุ ควรจะเป็นแก้วมีหัวฉีดสเปรย์
คุณสมบัติหรือสรรพคุณของยูคาลิปตัสเอสเซนเชียล
1. ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันเมื่อเริ่มรู้สึกจะเป็นหวัด
2. ช่วยลดอาการปวดศีรษะ ไมเกรน ภูมิแพ้ หอบ หืด
3. สามารถช่วยขจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ให้หมดไปและให้ความสดชื่นเข้ามาแทนที่
วิธีใช้
ใช้ได้ทั้งในอาคารบ้านเรือนและในรถยนต์ ฉีดให้ทั่วๆ บริเวณที่ต้องการ ให้อากาศบริสุทธิ์จะทำให้หอมสดชื่น
แหล่งซื้อสารเคมี
1. บริษัท วันรัต (หน่ำเซียน) จำกัด จำหน่ายปลีกเคมีภัณฑ์ ที่อยู่ 19 ซอยสุขุมวิท 70 ถนนสุขุมวิท แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 744-8257-60
2. บริษัท วันรัต (หน่ำเซียน) จำกัด จำหน่ายปลีกเคมีภัณฑ์ สาขาจักรวรรดิ ที่อยู่ 233-5 แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 224-9961-3
3. บริษัท ฮงฮวด จำกัด ที่อยู่ 41-45 ถนนจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 225-0127 begin_of_the_skype_highlighting              (02) 225-0127      end_of_the_skype_highlighting
4. บริษัท ฮงฮวด จำกัด (สาขาหนองแขม) ที่อยู่ 185-186 หมู่บ้านพรทวีวัฒน์ หมู่ 12 ถนนเพชรเกษม 73/2 แขวงหนองค้างพลู เขตหนองแขม กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 421-9536-7, (02) 421-9519-20
5. บริษัท ฮงฮวด จำกัด (สาขารังสิต) ที่อยู่ 300/103-104 หมู่ 13 ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี โทรศัพท์ (02) 536-4661-4
6. บริษัท ฮงฮวด จำกัด (สาขาจตุจักร) ชั้น 2 ที่อยู่ S 39 อาคาร JJ MALL ถนนกำแพงเพชร แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 265-9578 begin_of_the_skype_highlighting              (02) 265-9578      end_of_the_skype_highlighting
7. บริษัท ฮงฮวด จำกัด (สาขาสินสาธร) ที่อยู่ 77/82, 77/86 อาคารสินสาธรทาวเวอร์ ชั้น 21 ถนนกรุงธนบุรี แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 440-0770 begin_of_the_skype_highlighting              (02) 440-0770      end_of_the_skype_highlighting, (02) 440-0525-32 เว็บไซต์ www.honghuat.com
8. Lab Valley limited partnership ร้านขายสารเคมี ที่อยู่ 1111/32 โครงการเดอะฮาบิแทท ศรีวรา ถนนศรีวรา แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 559-3509 begin_of_the_skype_highlighting              (02) 559-3509      end_of_the_skype_highlighting, (02) 559-3807-8 โทรสาร (02) 559-2663 begin_of_the_skype_highlighting              (02) 559-2663      end_of_the_skype_highlighting อี-เมล : labvalley@yahoo.com เว็บไซต์ www.labvalley.com
9. บริษัท วันสวัสดิ์เคมีคัล จำกัด ที่อยู่ 129/28 หมู่ 4 ซอยเพชรเกษม 99 ตำบลอ้อมน้อย อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร โทรศัพท์ (02) 811-5825-7
10. หจก.มาเจสติค โปรดักส์ จำหน่าย-ขาย เคมีภัณฑ์ สารเคมี เคมี ที่อยู่ 33/19 หมู่ 13 ตำบลบางแม่นาง อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี โทรศัพท์ (02) 833-1682 begin_of_the_skype_highlighting              (02) 833-1682      end_of_the_skype_highlighting, (081) 563-4014 begin_of_the_skype_highlighting              (081) 563-4014      end_of_the_skype_highlighting
11. บริษัทอาซาฮี เคมีภัณฑ์ จำกัด ที่อยู่ 218-220 ถนนจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 221-9737 begin_of_the_skype_highlighting              (02) 221-9737      end_of_the_skype_highlighting, (02) 223-9314 begin_of_the_skype_highlighting              (02) 223-9314      end_of_the_skype_highlighting
12. ร้านโอ้วไทฮง ขายบรรจุภัณฑ์ อยู่แถวสะพานขาว กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 281-0054 begin_of_the_skype_highlighting              (02) 281-0054      end_of_the_skype_highlighting, (02) 627-0788 begin_of_the_skype_highlighting              (02) 627-0788      end_of_the_skype_highlighting
13. คุณชนินทร์ธร ขายเคมีภัณฑ์ โทรศัพท์ (089) 074-0217 begin_of_the_skype_highlighting              (089) 074-0217      end_of_the_skype_highlighting
14. เว็บไซต์ www.deeproduct.com ขายเคมีภัณฑ์

การทำสเปรย์ปรับอากาศ

กรณีคิดจะทำขาย เท่าที่เคยแนะนำลูกศิษย์ มี 2 รูปแบบ คือ ขายปลีก และขายส่ง หากเป็นขายปลีก ควรจะพิถีพิถันเรื่องบรรจุภัณฑ์ พร้อมทั้งสร้างความน่าเชื่อถือด้วยการทำฉลากบอก วันเดือนปีที่ผลิต สถานที่ติดต่อและเบอร์โทรศัพท์ให้ชัดเจน ส่วนราคาขายกำหนดให้สอดคล้องกับค่าวัตถุดิบ ค่าแรง ค่าบรรจุภัณฑ์ ค่าสถานที่จำหน่าย โดยทั่วไปตามท้องตลาด มักบวกกำไรเพิ่มอย่างน้อย 50 เปอร์เซ็นต์”
วิธีขจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ และบรรดากลิ่นเหม็นอับ ที่ง่ายและสะดวกรวดเร็วที่สุดคือ ซื้อสเปรย์ปรับอากาศที่วางขายตามท้องตลาดมาฉีด เพราะนอกจากช่วยปรับอากาศให้บริสุทธิ์ สดชื่น บางสูตร มีน้ำมันยูคาลิปตัส ซึ่งเมื่อทำปฏิกิริยาทางเคมีกับออกซิเจนในอากาศ จะเกิดเป็นก๊าซโอโซน ส่งผลให้ แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ อีกทั้งการสูดดมกลิ่นของยูคาลิปตัส จะช่วยบรรเทาอาการหวัด ฉะนั้น ทั้งชายและหญิง ต่างยินดียอมจ่ายเงินซื้อ
คอลัมน์ ก้าวแรกเศรษฐี ฉบับนี้มีข้อมูล ขั้นตอนลงมือทำ และแนะนำแหล่งจำหน่ายวัสดุ-อุปกรณ์ ของ “ผลิตภัณฑ์สเปรย์หอมปรับอากาศ ยูคาลิปตัสเอสเซนเชียล” มาฝาก โดยผู้ที่มาให้รายละเอียดคือ อาจารย์ลดารัตน์ พงศ์พินิจกุล หรือ อาจารย์น้อย ท่านเป็นอาจารย์สอนวิชาชีพ ภายใต้กลุ่มงานส่งเสริมอาชีพและพัฒนาผลิตภัณฑ์ กองส่งเสริมอาชีพ สำนักพัฒนาสังคม กรุงเทพมหานคร หากใครสนใจลองทำไว้ใช้เอง หรือทำขายก็เป็นอีกหนทางที่ช่วยสร้างรายได้

โอกาสขายมีมาก
แจงต้นทุนละเอียด
ก่อน อื่นต้องบอกว่าสูตร “สเปรย์หอมปรับอากาศ ยูคาลิปตัสเอสเซนเชียล” ที่นำมาเผยแพร่ มั่นใจได้ว่าไม่เป็นอันตราย เพราะส่วนผสมทุกอย่างมีคุณภาพ ซ้ำผ่านการสอนลูกศิษย์มาแล้วหลายรุ่น
เริ่มต้น อาจารย์น้อย บอกส่วนผสมผลิตภัณฑ์ดังกล่าวว่า ประกอบไปด้วย “เมนทอล” หรือเกล็ดสะระแหน่ ลักษณะเป็นผลึก หรือเกล็ดสีขาว “การบูร” เป็นผงสีขาวใส เงาๆ “พิมเสน” ลักษณะเป็นเกล็ดเล็กๆ สีขาวขุ่น “เอทิลแอลกอฮอล์” เป็นน้ำใส มีกลิ่นฉุน และ “ยูคาลิปตัสเอสเซนเชียล” หรือน้ำมันหอมระเหย โดยทั่วไปตามท้องตลาด จะมีจำหน่าย 2 รูปแบบ คือ แบบสังเคราะห์ และแบบธรรมชาติ ให้เลือกซื้อที่ทำจากธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ เพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อร่างกาย
สำหรับปริมาณส่วนผสมที่ใช้ใน สูตร อาจารย์น้อย ระบุว่า เมนทอลจะใส่ 100 กรัม การบูรใส่ 60 กรัม พิมเสน 40 กรัม เอทิลแอลกอฮอล์ 600 กรัม ยูคาลิปตัสเอสเซนเชียล 4 ออนซ์ ส่วนผสมทั้งหมดหาซื้อได้ตามร้านขายเคมีภัณฑ์ อายุการใช้งานของแต่ละส่วนผสมนาน 3 ปี แต่หากผลิตเป็นสเปรย์หอมปรับอากาศ จะเก็บใช้งานได้เพียง 1 ปี
อัตราส่วนผสมที่ระบุไป เมื่อผ่านกรรมวิธีการทำแล้ว จะได้สเปรย์หอมปรับอากาศ ประมาณ 900 กรัม แบ่งบรรจุขวดแก้ว ขนาด 85 กรัม ได้ 11 ขวด ส่วนราคาขึ้นอยู่กับปริมาณที่ซื้อแต่ละครั้ง เช่น เมนทอล ราคากิโลกรัมละ 700 บาท การบูร เฉลี่ยกิโลกรัมละ 200 บาท พิมเสน กิโลกรัมละ 500 บาท เอทิลแอลกอฮอล์ กิโลกรัมละ 100 บาท และยูคาลิปตัสเอสเซนเชียล ออนซ์ละ 37 บาท ซึ่งคำนวณคร่าวๆ เฉพาะต้นทุนวัตถุดิบ ไม่รวมค่าการตลาด เช่น ฉลากยี่ห้อ งบโฆษณา สถานที่วางขาย 1 ขวด ขนาด 85 กรัม จะประมาณ 75 บาท
มีสูตรมาให้ลองทำ
คนไทยใช้แล้ว ชอบบอกต่อ
สำหรับ ภาชนะบรรจุ แนะนำเป็นขวดแก้ว เพราะนอกจากจะช่วยเก็บรักษาประสิทธิภาพทางยา เช่น กลิ่น สี สรรพคุณ ได้อย่างครบถ้วน ยังเป็นการเพิ่มมูลค่า แต่ข้อเสียคือ น้ำหนักมากพกพาไม่สะดวก แต่กรณีคิดจะทำขาย เท่าที่เคยแนะนำลูกศิษย์ มี 2 รูปแบบ คือ ขายปลีก และขายส่ง หากเป็นขายปลีก ควรจะพิถีพิถันเรื่องบรรจุภัณฑ์ พร้อมทั้งสร้างความน่าเชื่อถือด้วยการทำฉลากบอก วันเดือนปีที่ผลิต สถานที่ติดต่อและเบอร์โทรศัพท์ให้ชัดเจน ส่วนราคาขายกำหนดให้สอดคล้องกับค่าวัตถุดิบ ค่าแรง ค่าบรรจุภัณฑ์ ค่าสถานที่จำหน่าย โดยทั่วไปตามท้องตลาด มักบวกกำไรเพิ่มอย่างน้อย 50 เปอร์เซ็นต์
ถามถึงข้อจำกัดของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวว่ามีสิ่งใดบ้าง ได้ความว่า ส่วนผสม “เอทิลแอลกอฮอล์” ก่อนใช้ควรเขย่าขวด และเปิดฝา ทิ้งไว้นาน 2-3 ชั่วโมง ทั้งนี้ เพื่อให้สเปรย์ปรับอากาศไม่มีกลิ่นฉุน
ทว่า เนื่องจากตามท้องตลาด มีผลิตภัณฑ์สเปรย์หอมปรับอากาศ วางจำหน่ายกันมาก เท่ากับว่าการแข่งขันสูง ฐานะผู้ขายหน้าใหม่ จะใช้กลยุทธ์ใดเรียกลูกค้า อาจารย์น้อย แสดงความคิดเห็นว่า ปัจจุบันรูปแบบการขายมีมากมาย ทั้งขายส่ง ขายปลีก ขายตรง ฝากขาย ซึ่งมีข้อดี ข้อเสีย แตกต่างกันไป อยากให้ผู้ประกอบการเลือกใช้วิธีที่ถนัด ทว่าเบื้องต้นไม่แนะนำให้ขายราคาถูกมาก หรือสูงมากเกินไป เพราะจะดูไม่น่าเชื่อถือ ซ้ำบางคนมีค่านิยมซื้อสินค้ามียี่ห้อ ฉะนั้น ถ้าอยากได้ลูกค้า ให้พิถีพิถัน เลือกบรรจุภัณฑ์สวยงาม ราคาที่สมเหตุสมผล และคุณภาพดี เชื่อว่าลักษณะนิสัยของคนไทยมักจะบอกต่อๆ กันเอง
ข้อมูล ที่ระบุมาข้างต้น คงพอใช้เป็นแนวทางปฏิบัติได้บ้าง แต่ก่อนไป อาจารย์น้อย ทิ้งท้ายไว้ ด้วยสูตร และขั้นตอนการทำ หากใครสงสัย หรือต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่ออาจารย์น้อย ได้ที่ โทรศัพท์ (089) 018-1960 begin_of_the_skype_highlighting              (089) 018-1960      end_of_the_skype_highlighting, (089) 091-9039 begin_of_the_skype_highlighting              (089) 091-9039      end_of_the_skype_highlighting
ผลิตภัณฑ์สเปรย์หอมปรับอากาศ
“ยูคาลิปตัสเอสเซนเชียล”
ส่วนผสม
1. เมนทอล 100 กรัม
2. การบูร 60 กรัม
3. พิมเสน 40 กรัม
4. เอทิลแอลกอฮอล์ 600 กรัม
5. ยูคาลิปตัสเอสเซนเชียล 4 ออนซ์
วิธีทำ
1. นำพิมเสนกับแอลกอฮอล์ผสมกันแล้วคนให้พิมเสนละลาย
2. เมื่อพิมเสนละลายดีแล้วนำการบูรลงผสม แล้วคนให้การบูรละลาย เสร็จนำเมนทอลลงผสมแล้วคนให้เมนทอลละลาย
3. นำยูคาลิปตัสเอสเซนเชียลลงผสมแล้วคนให้เข้ากัน เสร็จบรรจุภาชนะ
* ภาชนะที่บรรจุ ควรจะเป็นแก้วมีหัวฉีดสเปรย์
คุณสมบัติหรือสรรพคุณของยูคาลิปตัสเอสเซนเชียล
1. ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันเมื่อเริ่มรู้สึกจะเป็นหวัด
2. ช่วยลดอาการปวดศีรษะ ไมเกรน ภูมิแพ้ หอบ หืด
3. สามารถช่วยขจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ให้หมดไปและให้ความสดชื่นเข้ามาแทนที่
วิธีใช้
ใช้ได้ทั้งในอาคารบ้านเรือนและในรถยนต์ ฉีดให้ทั่วๆ บริเวณที่ต้องการ ให้อากาศบริสุทธิ์จะทำให้หอมสดชื่น
แหล่งซื้อสารเคมี
1. บริษัท วันรัต (หน่ำเซียน) จำกัด จำหน่ายปลีกเคมีภัณฑ์ ที่อยู่ 19 ซอยสุขุมวิท 70 ถนนสุขุมวิท แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 744-8257-60
2. บริษัท วันรัต (หน่ำเซียน) จำกัด จำหน่ายปลีกเคมีภัณฑ์ สาขาจักรวรรดิ ที่อยู่ 233-5 แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 224-9961-3
3. บริษัท ฮงฮวด จำกัด ที่อยู่ 41-45 ถนนจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 225-0127 begin_of_the_skype_highlighting              (02) 225-0127      end_of_the_skype_highlighting
4. บริษัท ฮงฮวด จำกัด (สาขาหนองแขม) ที่อยู่ 185-186 หมู่บ้านพรทวีวัฒน์ หมู่ 12 ถนนเพชรเกษม 73/2 แขวงหนองค้างพลู เขตหนองแขม กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 421-9536-7, (02) 421-9519-20
5. บริษัท ฮงฮวด จำกัด (สาขารังสิต) ที่อยู่ 300/103-104 หมู่ 13 ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี โทรศัพท์ (02) 536-4661-4
6. บริษัท ฮงฮวด จำกัด (สาขาจตุจักร) ชั้น 2 ที่อยู่ S 39 อาคาร JJ MALL ถนนกำแพงเพชร แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 265-9578 begin_of_the_skype_highlighting              (02) 265-9578      end_of_the_skype_highlighting
7. บริษัท ฮงฮวด จำกัด (สาขาสินสาธร) ที่อยู่ 77/82, 77/86 อาคารสินสาธรทาวเวอร์ ชั้น 21 ถนนกรุงธนบุรี แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 440-0770 begin_of_the_skype_highlighting              (02) 440-0770      end_of_the_skype_highlighting, (02) 440-0525-32 เว็บไซต์ www.honghuat.com
8. Lab Valley limited partnership ร้านขายสารเคมี ที่อยู่ 1111/32 โครงการเดอะฮาบิแทท ศรีวรา ถนนศรีวรา แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 559-3509 begin_of_the_skype_highlighting              (02) 559-3509      end_of_the_skype_highlighting, (02) 559-3807-8 โทรสาร (02) 559-2663 begin_of_the_skype_highlighting              (02) 559-2663      end_of_the_skype_highlighting อี-เมล : labvalley@yahoo.com เว็บไซต์ www.labvalley.com
9. บริษัท วันสวัสดิ์เคมีคัล จำกัด ที่อยู่ 129/28 หมู่ 4 ซอยเพชรเกษม 99 ตำบลอ้อมน้อย อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร โทรศัพท์ (02) 811-5825-7
10. หจก.มาเจสติค โปรดักส์ จำหน่าย-ขาย เคมีภัณฑ์ สารเคมี เคมี ที่อยู่ 33/19 หมู่ 13 ตำบลบางแม่นาง อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี โทรศัพท์ (02) 833-1682 begin_of_the_skype_highlighting              (02) 833-1682      end_of_the_skype_highlighting, (081) 563-4014 begin_of_the_skype_highlighting              (081) 563-4014      end_of_the_skype_highlighting
11. บริษัทอาซาฮี เคมีภัณฑ์ จำกัด ที่อยู่ 218-220 ถนนจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 221-9737 begin_of_the_skype_highlighting              (02) 221-9737      end_of_the_skype_highlighting, (02) 223-9314 begin_of_the_skype_highlighting              (02) 223-9314      end_of_the_skype_highlighting
12. ร้านโอ้วไทฮง ขายบรรจุภัณฑ์ อยู่แถวสะพานขาว กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 281-0054 begin_of_the_skype_highlighting              (02) 281-0054      end_of_the_skype_highlighting, (02) 627-0788 begin_of_the_skype_highlighting              (02) 627-0788      end_of_the_skype_highlighting
13. คุณชนินทร์ธร ขายเคมีภัณฑ์ โทรศัพท์ (089) 074-0217 begin_of_the_skype_highlighting              (089) 074-0217      end_of_the_skype_highlighting
14. เว็บไซต์ www.deeproduct.com ขายเคมีภัณฑ์

วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2554

โทษมหัน

ทีนี้มาศึกษาทัณฑ์ทรมานจากกามารมณ์กันดูอีกสักข้อหนึ่ง ในกามารมณ์หรือเมถุนธรรม เป็นสนตะพายสายหนึ่ง ที่จูงดึงผู้คนไปเสพรับทัณฑ์ทรมานจากการครองรัก ครองเรือน และโดยลำพังเมถุนธรรม ก็สามารถบันดาลโทษภัยแก่ผู้ครองรัก ครองเรือน หรือแม้ผู้เห็นความร้ายกาจในรัก ในเรือนแล้วได้เช่นกัน หากผู้นั้นมีใจให้เมถุนธรรม คำว่าเมถุนธรรมไม่ใช่เพียงสงครามดวลสะโพกของคู่กามเท่านั้น หากหมายถึงทั้งหมดของบทบาทการบำบัดกามจริต แต่ตรงนี้ขออนุญาตคลี่คลายเพียงสังเขป เชิญเสพรสชาติการหยั่งรู้ ดูความลุ่มลึกให้แจ้งชัดโดยตน
                      พระบรมครูผู้รู้แจ้ง ทรงแสดงปรีชาวาทะไว้ว่า บุคคลผู้บริโภคกาม ย่อมปรารถนากามยิ่งๆขึ้น จากครั้งแรก เป็นสอง เป็นสาม เป็นสี่ เป็นInfinity จากคนนั้น สู่คนโน้น สู่คนนี้ หาขอบเขตความอิ่มเต็มมิได้ ไม่หายหิว เหมือนสุนัขขบกลืนแท่งกระดูกติดคราบมัน จะอิ่มท้องก็หาไม่ ฉะนั้น... อุปมานี้เป็นสำนวนมีในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า กามารมณ์…เหมือนหมาแทะกระดูก…ไม่อิ่ม เหมือนบริโภคน้ำลายของตัวเอง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า กามารมณ์ เป็นเรื่องสนองอุปาทานของตัวเอง ถ้าจิตตัวเองไม่แปรปรวน ป่วนปั่น หรือไม่ปรุงไป ต่อให้ถูกไล้ถูกเลื้อยขนาดไหน ก็ไม่ได้เสวยสวรรค์ ดีไม่ดีจะถีบกระเด็นด้วยซ้ำ...รำคาญ ไปซะไกลๆ แต่ถ้าจิตของเราปรุงไปโลดโผนโจนทะยาน แม้อยู่คนเดียวก็เสวยสวรรค์ได้ ฉะนั้นที่รู้สึกอิ่มเต็ม ไม่ใช่เพราะใครมาเติม..ไม่ใช่ แต่เขาเป็นผัสสะหนึ่งซึ่งทำให้เราปรุงปั้นอุปาทานให้โลดโผนโจนทะยานยิ่งขึ้น ทั้งเป็นเรื่องเสียเวลางาน เสียเวลาพักผ่อนหลับนอน ทำให้สุขภาพเสื่อมโทรม กำลังกายถดถอย กำลังปัญญาก็ทุรพล ที่เคยเปรื่องโปร่งแจ่มใส กลับแปรปรวนเป็นอื่นไป โดยเฉพาะช่วงไคลแม๊กซ์ที่ซ่านวาบซาบหวิวแห่งกามารมณ์ ภาวะนั้นสันดาปลึกสุด อันตรายที่สุด เคยมีคนตายในขณะนั้นก็มีมาแล้ว เพราะทั้งแผดเผาทั้งเกร็งเคี่ยวเสียวเสียดถึงขั้วหัวใจ ประสาทรับรสสะท้านไหว ซึ่งหากสุขภาพและการโคจรของเลือดลมไม่เข้มแข็งดีพอ ก็หัวใจวายตายปัจจุบันได้ แม้สุขภาพและการโคจรของเลือดลมดีอยู่ กระนั้นสันตติของธาตุรู้ก็ขาดสะบั้นลง(ความสืบต่อของธาตุรู้) การกำหนดจดจำเสื่อมชำรุด ขาดความแม่นยำ หากต้องเป็นเช่นนี้มากไป จะกลับกลายเป็นคนบ้าได้ง่าย(บ้ากามนั้นแน่อยู่แล้ว) ทั้งเป็นธรรมดาของผู้ข้องติดในเกมส์ดวลกันดังกล่าวนั้น ใจมักผ่าวคำนึงถึงอ้อมขา อยากจะหาแต่คู่ต่อสู้มารู้คำรู้แดงกันอยู่ร่ำไป เยี่ยงนี้ปัญญาไม่ทุรพลกระไรได้ นี่เป็นโทษภัยของกามหรือไม่
ถ้าเราไตร่ตรองถึงความสืบต่อทางจิตวิญญาณจะเห็นได้ว่า มันเป็นไปในลักษณะอย่างนั้น คนที่ยินดีในกาม หมกมุ่นมัวเมาจนกระทั่งลืมตัวลืมตาย โอกาสที่จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ยาก เพราะธรรมดาความอยาก ไม่ต้องการการรอคอย เมื่อเสียชีวิตจากภพนี้แล้ว ส่วนใหญ่ก็จะไปเกิดเป็นเดรัจฉานเล็กๆน้อยๆ เกิดมาเพื่อเสพกาม เสพแล้วก็ตาย เสพแล้วก็ตาย โดยจริงถ้าใครหลงใหลในเรื่องของกามารมณ์มากๆ จะเกิดเป็นอะไรมากที่สุด…พอจะรู้ไหม จากตรรกะบอกว่า คนที่หมกมุ่นในเมถุนธรรมจะเกิดเป็นอสุจิ ได้ชิดใกล้เมถุนธรรม แบบอยู่ในที่นั้นเลย เราพึงพอใจในเรื่องนั้นมาก แล้วเราก็ได้มีสิทธิ์ชิดใกล้ ลึกซึ้งในสิ่งนั้นมาก เหมือนคนรักกัน เราอยากจะกินเขาเข้าไปทั้งตัว จริงไหม? ไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงให้เขากับเรารวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว

โทษมหัน

ทีนี้มาศึกษาทัณฑ์ทรมานจากกามารมณ์กันดูอีกสักข้อหนึ่ง ในกามารมณ์หรือเมถุนธรรม เป็นสนตะพายสายหนึ่ง ที่จูงดึงผู้คนไปเสพรับทัณฑ์ทรมานจากการครองรัก ครองเรือน และโดยลำพังเมถุนธรรม ก็สามารถบันดาลโทษภัยแก่ผู้ครองรัก ครองเรือน หรือแม้ผู้เห็นความร้ายกาจในรัก ในเรือนแล้วได้เช่นกัน หากผู้นั้นมีใจให้เมถุนธรรม คำว่าเมถุนธรรมไม่ใช่เพียงสงครามดวลสะโพกของคู่กามเท่านั้น หากหมายถึงทั้งหมดของบทบาทการบำบัดกามจริต แต่ตรงนี้ขออนุญาตคลี่คลายเพียงสังเขป เชิญเสพรสชาติการหยั่งรู้ ดูความลุ่มลึกให้แจ้งชัดโดยตน
                      พระบรมครูผู้รู้แจ้ง ทรงแสดงปรีชาวาทะไว้ว่า บุคคลผู้บริโภคกาม ย่อมปรารถนากามยิ่งๆขึ้น จากครั้งแรก เป็นสอง เป็นสาม เป็นสี่ เป็นInfinity จากคนนั้น สู่คนโน้น สู่คนนี้ หาขอบเขตความอิ่มเต็มมิได้ ไม่หายหิว เหมือนสุนัขขบกลืนแท่งกระดูกติดคราบมัน จะอิ่มท้องก็หาไม่ ฉะนั้น... อุปมานี้เป็นสำนวนมีในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า กามารมณ์…เหมือนหมาแทะกระดูก…ไม่อิ่ม เหมือนบริโภคน้ำลายของตัวเอง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า กามารมณ์ เป็นเรื่องสนองอุปาทานของตัวเอง ถ้าจิตตัวเองไม่แปรปรวน ป่วนปั่น หรือไม่ปรุงไป ต่อให้ถูกไล้ถูกเลื้อยขนาดไหน ก็ไม่ได้เสวยสวรรค์ ดีไม่ดีจะถีบกระเด็นด้วยซ้ำ...รำคาญ ไปซะไกลๆ แต่ถ้าจิตของเราปรุงไปโลดโผนโจนทะยาน แม้อยู่คนเดียวก็เสวยสวรรค์ได้ ฉะนั้นที่รู้สึกอิ่มเต็ม ไม่ใช่เพราะใครมาเติม..ไม่ใช่ แต่เขาเป็นผัสสะหนึ่งซึ่งทำให้เราปรุงปั้นอุปาทานให้โลดโผนโจนทะยานยิ่งขึ้น ทั้งเป็นเรื่องเสียเวลางาน เสียเวลาพักผ่อนหลับนอน ทำให้สุขภาพเสื่อมโทรม กำลังกายถดถอย กำลังปัญญาก็ทุรพล ที่เคยเปรื่องโปร่งแจ่มใส กลับแปรปรวนเป็นอื่นไป โดยเฉพาะช่วงไคลแม๊กซ์ที่ซ่านวาบซาบหวิวแห่งกามารมณ์ ภาวะนั้นสันดาปลึกสุด อันตรายที่สุด เคยมีคนตายในขณะนั้นก็มีมาแล้ว เพราะทั้งแผดเผาทั้งเกร็งเคี่ยวเสียวเสียดถึงขั้วหัวใจ ประสาทรับรสสะท้านไหว ซึ่งหากสุขภาพและการโคจรของเลือดลมไม่เข้มแข็งดีพอ ก็หัวใจวายตายปัจจุบันได้ แม้สุขภาพและการโคจรของเลือดลมดีอยู่ กระนั้นสันตติของธาตุรู้ก็ขาดสะบั้นลง(ความสืบต่อของธาตุรู้) การกำหนดจดจำเสื่อมชำรุด ขาดความแม่นยำ หากต้องเป็นเช่นนี้มากไป จะกลับกลายเป็นคนบ้าได้ง่าย(บ้ากามนั้นแน่อยู่แล้ว) ทั้งเป็นธรรมดาของผู้ข้องติดในเกมส์ดวลกันดังกล่าวนั้น ใจมักผ่าวคำนึงถึงอ้อมขา อยากจะหาแต่คู่ต่อสู้มารู้คำรู้แดงกันอยู่ร่ำไป เยี่ยงนี้ปัญญาไม่ทุรพลกระไรได้ นี่เป็นโทษภัยของกามหรือไม่

ศิลพระ227

http://www.dhammathai.org/webboard/dbview.php?No=51

วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2554

วิธผสมน้ำหอม

สำนักที่ 2 worldchemical
HOW TO MAKE YOUR OWN PERFUME วิธีการผสมน้ำหอมที่มีคุณภาพ

 


 

HOW TO MAKE YOUR OWN PERFUME วิธีการผสมน้ำหอมที่มีคุณภาพ

 การผสมน้ำหอมนั้นทำได้ไม่ยากอย่างที่คิด ซึ่งก็เหมือนการผสมเครื่องดื่มทานนะครับ ซึ่งท่านสามารถจะ
 เจือจางหรือผสมให้เข้มข้นได้แล้วแต่ใจชอบนะครับ

 ซึ่งเราจะต้องมีสิ่งต่อไปนี้ให้พร้อมก่อนนะครับ

 1. หัวเชื้อน้ำหอม ส่วนมากจะลักษณะเป็นน้ำมันนะครับ ข้นนิดๆซึ่งต้องแน่ใจว่าเป็นหัวเชื้อ เพราะบางทีได้ทำการเจือจางหัวเชื้อแล้ว ซึ่งจะทำให้กลิ่นอ่อนและลักษณะคล้ายน้ำไม่ข้นเท่าไรนะครับ หัวเชื้อน้ำหอมเวลาเราเอามาขยี้กับนิ้วจะรู้สึกมันและอุ่นๆนะครับ ถ้าเอาขยี้แล้วเย็นก็หมายถึงถูกผสมมาเรียบร้อยแล้วนะครับ สำหรับฮงฮวดเองจะมีขายแต่หัวเชื้อดังนั้น ท่านเลยแน่ใจได้ว่าจะได้หัวเชื้อน้ำหอมคุณภาพไปใช้นะครับ

 2. แอลกอฮอล์ ซึ่งปัจจุบันเรามีตัว Denatured Alcohol ซึ่งมีคุณสมบัติในการระเหยได้ดีกว่าตัว 958 เพราะ
 มี Alcohol ถึง 99% ในขณะที่ 958 มีแค่ 95% ดังนั้นเมื่อมีแอลกอฮอล์มากขึ้นทำให้การระเหยของกลิ่นดีขึ้นนะครับ

 3. MUSK 10% หรือ 165 ซึ่งเป็นตัวเร่งกลิ่นและทำให้กลิ่นติดทนนานมากขึ้น ซึ่งจะมีสองแบบ ก็คือแบหัวเชื้อกับแบบเจือจางนะครับ MUSK 165 จะเป็นหัวเชื้อส่วน MUSK 10% จะเป็นแบบเจือจางนะครับ

 4. Propylene Glycol ซึ่งเป็นตัวที่สามารถทำละลายในน้ำและน้ำมันได้ ตัว PG จะช่วยในการดับกลิ่นน้ำหอมได้ดียิ่งขึ้นและแถมมีตัวที่ทำให้ผิวชุ่มชื่นอยู่ ในตัว PG จริงๆแล้วตัววัตถุดิบในเครื่องสำอางค์

 5.น้ำกลั่น จะช่วยในการดับกลิ่นแอลกอฮอล์ 
 วิธีการผสม 
 - นำ Denatured Alcohol มาผสมกับ Musk ก่อนนะครับ โดยนำ alcohol 1 ปอนด์ผสม Musk 1 ออนซ์และ เขย่าให้เข้ากันพักทิ้งไว้นะครับ

 - นำหัวน้ำหอมมาผสมกับ alcohol ที่ผสมพักไว้ โดยใช้อัตราส่วนดังนี้ หัวเชื้อน้ำหอม 1 ออนซ์ ต่อ alcohol 3 ออนซ์ (ถ้าจะให้เจือจางมากยิ่งขึ้นก็ให้ใส่ alcohol เพิ่มมากขึ้น)

 - ผสมและเขย่าให้เข้ากัน จากนั้นให้เติม Propylene Glycol ไปประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ห้ามเติม PG มากเกินไปเพราะ ไม่งั้นตัว PG อาจจะแยกตัวจากน้ำหอมได้นะครับ

 - เติมน้ำเข้าไปอีก 7 cc. แล้วเขย่าให้เข้ากัน

 - เมื่อผสมเสร็จก็พักน้ำหอมทิ้งไว้สักพักก่อนนำมาใช้ 
 TIP ในการผสมน้ำหอม

 - เมื่อผสมเสร็จควรจะแช่น้ำหอมไว้ในตู้เย็นเพื่อที่จะเร่งการกระจายและการเข้ากันของน้ำหอมได้ดี และ เร็วยิ่งขึ้น

 - ควรแน่ใจว่าน้ำหอมที่นำมาผสมเป็นหัวน้ำหอมจริงๆไม่มีการเจือจาง โดยการใช้วิธีขยี้น้ำหอมกับนิ้วพิสูจน์ โดยถ้าขยี้แล้วมันหรืออุ่นก็สันนิฐานว่าเป็นหัวเชื้อไว้ก่อน แต่ถ้าขยี้แล้วเย็นไม่มันก็แปลว่าเป็นหัวน้ำหอม เจือจางนะครับ

 - หัวน้ำหอมส่วนมากจะเป็น OS หรือ Oil Sulable ซึ่งหมายความว่าละลายในน้ำมันได้ดี ซึ่งสามารถนำมา ผสมเข้ากับเครื่องสำอางค์หรือเครื่องประทินผิวอื่นๆเช่น แขมพู, ครีมทาผิว, สบู่เหลว, และอื่นๆ

 - ถ้าผสมเสร็จแล้วน้ำหอมที่ได้เกิดสีเข้มไป ซึ่งก็เป็นไปได้สำหรับหัวเชื้อบางชนิด ก็มีวิธีแก้ไขโดยการใส่ TALCUM POWDER ซึ่งรอให้แป้งตกตระกอนแล้วเอากระดาษกรองมากรองเอาน้ำหอมที่เหลือ ซึ่งน้ำอมที่ได้ก็จะมีสีที่จางลง

 - ถ้าน้ำหอมที่ผสมออกมาขุ่นก็อาจจะเป็นเพราะว่าผสมน้ำมากเกินไป ก็ให้ทำการใส่ alcohol เพิ่มก็จะทำให้ใส่ เหมือนเดิม 

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สำนักที่
หัวน้ำหอมแท้ๆ พิสูจน์ได้
ด้วยการนำมาจับๆ ทาๆ ดูมันจะร้อนค่ะ
แต่ถ้าผสมแล้วกับแอลกอฮอล์จะเย็นๆ ค่ะ


สุตรการผสมน้ำหอม ไม่มีตายตัวค่ะ
ลูกค้าสามารถปรับสูตรได้เอง

ซึ่งทั่วไปในท้องตลาดจะมี 2 สูตร

1. สุตรทั่วไป
ทนนาน 4-5 ชั่วโมง

2. สุตรเข้ม
 ทนนาน 8 ชั่วโมง


อุปกรณ์และส่วนผสม

1. อัลกอฮอล์ ผสมมัสต์แล้วจะประหยัดและสะดวกกว่า
2. หัวน้ำหอม
3. ขวดแก้ว สำหรับใส่น้ำหอมที่ผสมแล้ว
4. สลิงค์พลาสติก



ขึ้นอยุ่กับผู้ผสมอยากให้น้ำหอมที่ผสมแล้ว ทนนานหรือทนไม่นานค่ะ

เช่น บางร้าน ถ้าทนไม่นาน ตามข้อ 1 ก็ใส่หัวน้ำหอมแค่ 12%
ถ้าเอาทน ตามข้อ 2  ก็ใส่แค่ 15 %
- น้ำหอมจะหอมดี หอมนาน หอมทน อยู่ที่ส่วนผสมด้วยค่ะ ถ้าหัวน้ำหอมมีคุณภาพ
แต่แอลกอฮอล์ที่ใช้ผสมไม่มีคุณภาพ น้ำหอมก็คุณภาพไม่ดี

เหตุใดน้ำหอมมีสีเหลือง

เหตุผลก็คือ สีเหลือง เป็นสีตามธรรมชาติ ของน้ำมันหอมระเหย (essential oils) เมื่อผ่านกรรมวิธีการผลิต อันที่จริง หัวน้ำหอมอันเป็นที่รวมของน้ำมันหอมนับสิบ นับร้อย หรือนับพัน ในบางกรณีซึ่งถูกทำให้เจือจางด้วยแอลกอฮอล์ เพื่อผลิตเป็นโคโลญ หรือน้ำหอม ก็อาจมีสีที่ผิดแผกกัน ออกไปบ้าง แต่เนื่องด้วย น้ำมันหอมระเหยส่วนใหญ่มีสีเหลืองอำพัน เมื่อเจือจางแล้ว ก็ยังคงโทนสีเหลืองไว้
ถ้าส่วนผสมตามธรรมชาติ ให้สีที่ดูแล้วไม่สวย นักปรุงน้ำหอมก็สามารถแต่งแต้มสีใหม่ได้ ตราบเท่าที่สีนั้น ได้รับอนุญาตจากทางราชการและต้องแจ้งไว้ในฉลากปิดขวดด้วยว่า เป็นส่วนผสมผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำหอมอธิบายว่า เนื่องจากการเปลี่ยนส่วนผสมของน้ำหอมจากสีเข้มให้อ่อนลง รวมทั้งการเปลี่ยนสีหนึ่ง ไปเป็นอีกสีหนึ่งเลยนั้นทำได้ยาก ดังนั้นสีของน้ำหอมขั้นสุดท้าย จึงมักไม่ต่างไปจากสีตามธรรมชาติของส่วนผสมมากนัก
แน่นอนน้ำหอมทุกชนิดไม่ได้มีสีเหลือง น้ำหอมสีอื่นบางชนิดถูกบรรจุลงในขวดแก้วขุ่นเพื่อพรางสีที่แท้จริง แต่ก็มีน้ำหอม "สีดีไซเนอร์" สะดุดตา ผลิตออกมาจำหน่าย โดยใช้สีที่แปลกออกไปนั้นเป็นเครื่องมือทางการตลาด ในเรื่องนี้ นักปรุงน้ำหอมมีชื่อผู้หนึ่งให้ความเห็นว่า น้ำหอมสีเหลือง "ธรรมชาติ"จะดึงดูดลูกค้าระดับบนได้มากกว่า น้ำหอมสี "ประหลาด"ซึ่งนิยมกันเฉพาะในหมู่ลูกค้าวัยรุ่นเท่านั้

วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2554

วิธสกัดน้ำมันหอม

http://www.youtube.com/watch?v=8RKlEisN3qs&tracker=False

การทำน้ำหอม(ต่อ)

http://www.youtube.com/watch?v=A3hdhpDkPws&tracker=False
http://www.youtube.com/watch?v=tTAiNQJuagA&tracker=False
http://www.youtube.com/watch?v=E0j915sDZJc&tracker=False

วิธีทำน้ำหอม

http://www.youtube.com/watch?v=aBcMwnXKGgQ&tracker=False

http://www.youtube.com/watch?v=vCXOnBFZiCk&tracker=False

http://www.youtube.com/watch?v=4LkR40SBDyU&tracker=False

ต่อ

http://www.youtube.com/watch?v=hQWTRPYcFDQ&tracker=False

น้ำหอมแห้ง

http://www.youtube.com/watch?v=daAPS-_8GMg&tracker=False

วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2554

หอมชื่นใจ

+*+หอมชื่นใจ+*+
เช้าวันก่อน ที่โต๊ะทำงาน มี"กระปุก" อะไรสักอย่าง ว่างอยู่
Halfmoon หยิบขึ้นเพ่งพิจารณา..อะไรหว่า? ใครเอามาวางไว้ก็ไม่รู้...
เอ..หรือจะเอามาให้ เพราะมีพลาสติกหุ้มมิดชิด...จะแกะออกดูก็ไม่กล้า
  อ่านฉลากสิ...พลิกกระปุกดู หมุนจนรอบ...
เฮ้อออ จะอ่านออกมั้ยเนี่ย!! ภาษาอะไรก็ไม่รู้ เหมือนภาษามอญ
เนี่ยค่ะ..รูปร่างเค้าล่ะ อะไรก็ไม่ทราบ..
ตัดสินใจหยิบกระปุกเดินลิ่วไปถาม "ผู้รู้" ละแวกนั้น ถามคนโน้นที คนนี้ที ไม่นานก็ได้ความว่า..
เจ้ากระปุกนี้ มันคือ "ยาดม" ค่ะ ท่านผู้อ่าน
(โอ้ พระเจ้า..ยาดมอะไรเนี่ย ใหญ่โตมโหรทึก)
มันไม่ใช่ยาดมธรรมดานะเคอะ..ทว่ามันคือ
"ยาดมพม่า"
หรืออีกนัยนึง มันคือ OTOP พม่า เพื่อนบ้านเรานั่นเอง
เห็นมั้ยคะ เป็นสินค้าของเค้าจริง ๆ มีวันเดือนปีในการใช้งานระบุข้างกระปุกอย่างเรียบร้อย
เสียตรงที่อ่านสรรพคุณและส่วนผสมไม่ออก..ซ้ำ ดูจาก ลักษณะภายนอกแล้วน่าหวาดระแวงมิใช่น้อย
สายๆ  จึงมีคนมาแสดงตนเป็นเจ้าของ ว่าตนไปเที่ยวพม่ามา เห็นสินค้าแปลกดีจึงนำมาฝากน้อง ๆ
ไม่ได้สอบถามสนนราคา แต่พี่ ๆ ที่มีประสบการณ์กระซิบว่า ที่ลาวขายในราคากระปุกละ 8 บาท แต่ที่พม่าไม่ทราบ
เปิดฝาดูข้างใน... มีสมุนไพรคล้าย ๆ ลูกผักชี
และมีอยู่นิดเดียว ติดก้นกระปุก  ทำให้ Halfmoon คิดว่า พิลึกข้างนอกยังไม่พอ ยังพิลึกข้างในซะด้วย
.............................................
ได้เวลาพิสูจน์กลิ่นยาดมพม่า..
โอ้ววววววว  หอมเย็นชื่นใจจริง ๆ
กลิ่นเย็น ๆ เต็มไปด้วยกลิ่นของสมุนไพร สูดดมแล้วให้ความสดชื่อนโล่งจมูกดีแท้
ใครเป็นลม นำยาดมพม่านี้ ให้ดม รับรองฟื้นแน่ ๆ
มิน่า...ในกระปุกจึงบรรจุตัวยาไว้นิดเดียว (แต่กระปุกเบ้อเริ่มเลย)
ยืนสูดอยู่หลยครั้ง แล้วก็นึกขึ้นมาได้  ว่ายาดมนี้ ไม่มีมาตรฐานอะไรรับรองความปลอดภัยเลย
สูดเข้าไปมาก ๆ จะเป็นอันตรายไหม ตายแล้วๆ ๆ ๆ
ว่าแล้ว ก็ Search หาข้อมูลโดยด่วน
แต่ก็ไม่พบข้อมูลอะไรมากมาย แค่ว่ายาดมพม่าขวดนี้มีส่วนผสมคือ กานพลู การบูน น้ำมันหอมระเหย
และเป็นสินค้าที่แพร่หลายเข้ามาในไทยนานมากแล้ว (น่าน..เชยจริง ๆ Halfmoon)
มีจำหน่ายตามร้านขายสินค้าพื้นเมือง และร้านค้าทั่วไป ตลาดจตุจักรของเราก็น่าจะมีนะ
ราคาแต่ละแห่งหลากหลายมาก ตั้งแต่ 8-40 บาท (ไม่แน่ใจว่าขนาดกระปุกเท่ากันมั้ย)
ตอนนี้..ยามว่าง ยามงาน ยามคุย  ยามประชุม แต่ละคนก็หยิบขึ้นมาดม ๆ ๆ แล้วก็สูดดม
ดมกันเข้าไป ส่งต่อกันบ้าง แบ่งปันกันบ้าง มีติดมือไว้เกือบทุกคน
Halfmoon จึงอยากจะฝากไว้ว่า
ใครมีผลวิจัย หรือข้อมูล ว่า ยาดมพม่านี้ปลอดภัย หรือ อันตรายอย่างไร กระซิบด้วยนะคะ
เพราะชักจะติดงอมแงมไปกันใหญ่แล้ว  อิอิ