วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ยาดมสมุนไพร

ยาดมสมุนไพร เป็นยาที่จัดอยู่ในประเภทเป็นยาสมุนไพรประจำบ้าน  

ยาดมสมุนไพร   เป็นยาที่จัดอยู่ในประเภทเป็นยาสมุนไพรประจำบ้าน ใช้สูดดม ยาดม ใช้สูดดม บรรเทาอาการวิงเวียน หน้ามืด ตาลาย เป็นหวัด คัดจมูกซึ่งมีวิธีทำที่ง่ายหาสมุนไพรได้สะดวก  สามารถทำเพื่อจำหน่ายเป็นรายได้เสริมได้
กลุ่มสาระการเรียนรู้  การงานอาชีพและเทคโนโลยี    ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
วัสดุ อุปกรณ์
       
1. การบูรเกล็ด 1  ขีด  การบูรมีลักษณะเป็นเกล็ดเล็กๆ สีขาว มีสรรพคุณ ขับลม แก้จุกเสียดแน่นเฟ้อ แก้ปวดท้อง  ขับเหงื่อ ทาแก้เคล็ดบวม ขัดยอก แพลง แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย และโรคผิวหนังเรื้อรัง
   

 
 
        2. เมนทอล  3  ขีด  เมนทอลมีลักษณะเป็นผลึกสีขาว กลิ่นหอมเย็นมีสรรพคุณใช้เป็นยาภายนอกเกี่ยวกับการลดอาการปวดเมื่อย ฆ่าเชื้อ และใช้เป็นยาขับลม ที่ให้ความเย็นซาบซ่า
 

        3.   พิมเสน 1  ขีด พิมเสนมีลักษณะเป็นเกล็ดเล็กๆ สีขาวขุ่น สรรพคุณของพิมเสน  มีกลิ่นหอมเย็น ใช้สูตรดมแก้ลมวิงเวียน ทาภายนอกแก้เคล็ดขัดยอก

        4.  กานพลู  1  ขีด   กานพลู มีกลิ่นหอมจัด มีน้ำมันหอมระเหยมาก  มีสรรพคุณ ช่วยขับลม แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง และแน่นจุกเสียด 
        5.  ดอกจันทน์เทศ  1  ขีด   ดอกจันเทศมีสรรพคุณ ใช้แก้ลม ขับลม แก้บิด บำรุงผิวหนัง


        6.  พริกไทยดำ 1  ขีด  พริกไทยดำมีสรรพคุณช่วยขับลม ขับเสมหะ ขับเหงื่อ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้อาการอาหารไม่ย่อย

        7.  โกศหัวบัว   1  ขีด  โกศหัวบัวสรรพคุณแก้ลมในกองริดสีดวง ขับลมในลำไส้  ขับลม แก้ลม บำรุงโลหิต 
        8.  กระวาน   2  ขีด  กระวานรสเผ็ดร้อน กลิ่นหอม มีฤทธิ์ในการขับลม  และฤทธิ์ในการยับยั้ง การเจริญของเชื้อแบคทีเรียบางชนิด  แก้ลมเจริญอาหาร รักษาโรค รำมะนาด แก้ลมจุกเสียดแน่นเฟ้อ แก้ลมสันนิบาต
 
ขั้นตอนการปฏิบัติงาน        ขั้นที่ 1   ขั้นเตรียมพิมเสนน้ำ    
            1. นำส่วนผสมทั้ง  3 ชนิด  คือ เมนทอล  3 ส่วน พิมเสน  1 ส่วน   การบูร  1 ส่วนเทผสมรวมกันในภาชนะสำหรับผสมสาร
            2. ใช้ไม้พายเล็กคนให้ส่วนผสมทั้งหมดละลายเป็นของเหลว (ถ้าไม่ใช้ไม้คนอาจใช้วิธีการเขย่าขวดให้ส่วนผสมละลายก็ได้)
            3. นำพิมเสนที่ได้บรรจุขวดปากกว้างปิดฝาพักไว้
        ขั้นที่ 2 ขั้นเตรียมสมุนไพร
            1.  นำสมุนไพรทั้ง 5 ชนิด ในที่นี้ประกอบด้วย กานพลู  ดอกจันทน์เทศ   พริกไทยดำ  โกศหัวบัว   กระวาน ใส่ภาชนะรวมกันผสมคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน


            2  น้ำสมุนไพรที่ได้ใส่ในขวดปากกว้างที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 1 ปิดฝาขวดให้สนิท
            3.  แช่สมุนไพรในพิมเสนน้ำ 1  คืน
            4.  นำส่วนผสมที่ได้บรรจุในขวดมีฝาปิดเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป

ข้อเสนอแนะ
          1.  ยาดมสมุนไพรอาจใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆที่มีคุณสมบัติตามต้องการของแต่ละบุคคลได้
          2.  ผู้ผลิตยาดมสมุนไพรควรศึกษาคุณสมบัติของสมุนไพรแต่ละชนิดเพื่อนำไปใช้ได้ถูกต้องและไม่เป็นอันตราย
          3. ยาดมสมุนไพรสามารถเติมกลิ่นลงไป เพื่อให้ได้กลิ่นที่แปลกใหม่ เช่น กลิ่นมะลิ กลิ่นกุหลาบ เป็นต้น
          4. ผู้ผลิตอาจจะบรรจุยาดมสมุนไพรในขวดหรือภาชนะที่แปลกใหม่เพื่อเป็นการดึงดูดใจให้อยากซื้อหา

ข้อควรระวัง        1. ควรใช้อย่างระมัดระวังไม่ควรให้เข้าตา จะทำให้แสบตาได้
        2. ควรวางยาดมสมุนไพรให้พ้นมือเด็ก
    

ประโยชน์ของยาดมสมุนไพร
        1. ใช้สูดดม ยาดม ใช้สูดดม บรรเทาอาการวิงเวียน หน้ามืด ตาลาย เป็นหวัด คัดจมูก
        3. ทำเป็นของชำร่วย ใช้แจกในงายพิธีต่างๆ เช่น งานศพ
        4. เป็นการเพิ่มรายได้หรือทำเป็นอาชีพเสริม

การประเมินราคาผลงาน  (จะต้องคำนวณราคาทุน กำไร ราคาขาย)
        การคิดราคาคำนวณ ผู้ขายจะต้องคิดจากราคาสินค้าทั้งหมดรวมกับค่าสึกหรอของเครื่องใช้ ค่าแรง ค่าขนส่ง ค่าพาหนะ ค่าน้ำค่าไฟ
        การคิดกำไร ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ผลิต เช่น กำไร 40/50/หรือ60/
        การกำหนดราคาขาย จะต้องคิดต้นทุนทั้งหมดบวกด้วยกำไรที่ต้องการ ที่จะเป็นราคาขาย

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

น้ำหอมในบ้าน

กลิ่นหอมภายในบ้าน

 คุณทราบหรือไม่ว่ากลิ่นหอม (fragrance) ซึ่งปัจจุบันกำลังเป็นที่นิยมนำมาใช้บำบัดความเครียด ความอ่อนล้าของร่างกายจากการทำงาน ที่รู้จักหรือเรียกกันว่า Aromatherapy นั้น ก็ส่วนหนึ่งของการตกแต่งบ้านมาตั้งแต่สมัยโบราณ ตัวอย่างเช่น การจุดกำยานของจีน , อินเดียมีการใช้เครื่องหอมในห้องนอน , หรือการนำดอกไม้หอมไม่ว่าจะเป็นดอกมะลิ ดอกจำปีจำปา มาร้อยประดับตกแต่งภายในบ้านของคนไทยสมัยโบราณ จากการศึกษาเรื่องกลิ่น คนเราจะใช้เวลาเพียง 2 วินาทีในการรับรู้กลิ่นผ่านทางจมูก เดินทางไปยังสมอง รับรู้และตอบสนองต่อกลิ่นนั้น ๆ เช่น กลิ่นหอมของดอกมะลิยามเช้าจะทำให้รู้สึกสดชื่น ในขณะที่กลิ่นอาหารเช้าทำให้เกิดความรู้สึกหิว มีการศึกษาเรื่องของกลิ่นสัมพันธ์กับอารมณ์ การรับรู้ทำให้เกิดผลกับความรู้สึกของร่างกายมนุษย์ แต่ละกลิ่นจะให้ความรู้สึกแตกต่างกัน 
 
บางกลิ่นให้ความรู้สึกสงบ มีสมาธิ เช่นธูปจึงนิยมใช้ในพิธีทางศาสนา บางกลิ่นช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย ช่วยให้นอนหลับสบาย บางกลิ่นให้ความรู้สึกสดชื่น ช่วยให้รู้สึกกระฉับกระเฉง สามารถทำงานได้ดีและต่อเนื่อง
 

ปัจจุบันจึงมีการศึกษาเรื่องกลิ่นและนำมาใช้ภายในบ้านช่วยส่งเสริมให้ผู้อาศัยมีสุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจ
เราควรจะดูแลจัดบ้านให้เรียบร้อย หมั่นทำความสะอาดเป็นประจำ ถ้ามีเวลาก็เพิ่มการตกแต่งให้เกิดบรรยากาศอบอุ่น และเป็นกันเอง ถ้าเพิ่มกลิ่นที่หอมสะอาดก็จะทำให้ผู้อยู่ในบ้านรู้สึกสดชื่น ยิ่งถ้าคุณมีแขกมาที่บ้าน บรรยากาศภายในบ้านก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดความประทับใจ
ดอกไม้หรือต้นไม้ที่มีกลิ่นหอม สิ่งที่หาได้ง่ายที่สุดและเป็นธรรมชาติ คือการตัดดอกไม้สดที่มีกลิ่นหอมจากสวนคุณเอง ไม่ว่าจะเป็น ดอกแก้ว กุหลาบ ปีบ พุดซ้อน มะลิ มาปักแจกัน หรือใส่ถาดลอยน้ำ เท่านี้ห้องของคุณก็จะดูสดชื่น พร้อมกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากดอกไม้สด ไม่ยากเลยใช่ไหมค่ะ
 

เทียนหอม เป็นที่นิยมและสามารถหาได้ทั่วไป เมื่อจุดให้แสงอ่อน ๆ และกลิ่นหอมทั่วห้อง มี 2 แบบคือ แบบมีกลิ่นหอมอยู่ในตัว และแบบสเปร์หรือหยดน้ำมันหอม สามารถเลือกกลิ่นที่คุณชอบได้ ให้กลิ่นประมาณ 1 - 2 ชั่วโมง เปลือกมะนาวหรือมะกรูด เปลือกทั้ง 2 ชนิดจะทำหน้าที่ใกล้เคียงกันคือ ดูดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์และให้กลิ่นหอมอ่อนสดชื่น เพียงคุณหาถ้วยหรือภาชนะประเภทพานใบย่อม ใส่เปลือกมะกรูดที่คั้นน้ำแล้ว 3 - 4 ชิ้น นำไปวางบริเวณที่อากาศไม่ค่อยถ่ายเท จะช่วยดูดกลิ่นอับชื้น เหมาะสำหรับห้องครัว (จะมีกลิ่นจากการประกอบอาหาร กำจัดยาก) และห้องน้ำ ให้กลิ่นหอมอ่อน ๆ
ถ้าพิจารณาดูดี ๆ ไทยเราก็มี วัฒนธรรมเกี่ยวกับเครื่องหอมมาตั้งแต่สมัยโบราณ ไม่ว่าจะเป็น มาลัยดอกมะลิสด หรือน้ำอบที่มีกลิ่นหอมดอกไม้จาง ๆใช้ประพรมในงาน การนำเครื่องหอมมาใช้จึงไม่ใช่ของใหม่เสียทีเดียว และในปัจจุบันก็มีผลิตภัณฑ์เครื่องหอมต่าง ๆ มาให้เลือกใช้มากมาย ตอนต่อไปจะพูดถึงการใช้กลิ่นหอมสำหรับห้องต่าง ๆ ภายในบ้าน

 

ปัจจุบันได้มีการผลิตน้ำหอมที่ใช้ภายในบ้าน สำหรับห้องต่างๆ ง่ายและสะดวกสำหรับบุคคลที่ไม่มีแม่บ้าน หรือต้องการความเร่งรีบในแต่ละวัน ซึ่งกลิ่นแต่ละกลิ่นก็มีให้เราได้เลือกหลากหลายมากมายทีเดียว
     
แต่งแต้มอารมณ์ของคุณด้วยสเปรย์น้ำหอมปรับอากาศ สำหรับห้องต่างๆ ในบ้านคุณ 
ห้องน้ำ:( Bath room)
417 146 Hyncinth & Lily
ให้ความรู้สึกสดใสร่าเริงกับห้องน้ำของคุณด้วยกลิ่นดอกไม้ จากการผสมผสานกัน ระหว่างพันธุ์ไม้ตระกูล Hyacinth และลิลลี่ตระกูล Cyclamen ร่วมกับกลิ่นไลม์ และมะนาวให้ความรู้สึกสดชื่นและช่วยลดกลิ่นน้ำยาฆ่าเชิ้อในห้องน้ำได้
 

ห้องทำงาน:( Study room)
417 147 Mint & Jasmin
เปอเปอร์มินท์เป็นน้ำมันหอมระเหยจากพืชพรรณธรรมชาติ เหมาะสำหรับการเรียนหรือการทำงาน เปอเปอร์มินท์จะช่วยกระตุ้นสมองคุณและช่วยทำให้สมองคุณปลอดโปร่ง อีกทั้งกลิ่นมะลิที่จะช่วยในการตัดสินใจที่ดีขึ้น
 

ห้องครัว:( Kitchen room)
417 148 Citrus & Spice
ไอร้อนจากการทำอาหารทำให้เกิดกลิ่น คุณ
แก้ไขโดยกลิ่นแนว citrus และ spicy กลิ่นส้มแมนดารินและมะนาวช่วยสร้างบรรยากาศให้สดชื่น กลิ่นอบเชยและโป๊ยกั๊กช่วยสร้างบรรยากาศให้รื่นเริงขึ้น

  

ห้องนอน:( Bed room)
417 149 Lavender & Rose
ห้องนอนเป็นที่พักผ่อนหลังจากการทำงานหนักมาตลอดวัน กลิ่นลาเวนเดอร์ช่วยทำจิตใจคุณให้สงบ ช่วยฟื้นฟูร่างกายและจิตใจของคุณ กลิ่นกุหลาบช่วยประสานร่างกายและอารมณ์คุณให้มั่นคงยิ่งขึ้น ทำให้การการนอนเป็นการพักผ่อนที่ดีเยี่ยมตลอดทั้งคืน

  
ห้องนั่งเล่น:( Living room)
417 150 Lily of the Valley & Citrus
ให้ความร่าเริงกับห้องนั่งเล่นของคุณโดยละอองจาก Lily of the valley และแนวกลิ่น citrus จากมะนาวและมะกรูด มะกรูดมีคุณสมบัติช่วยให้จิตใจคุณสงบ ทั้งเรื่องความกังวลและความตึงเครียดจากงาน คุณจะพบกลิ่นไอที่ผ่อนคลายและหายกังวล

การใช้น้ำหอมหน้าร้อน

เคล็ดลับใช้น้ำหอมหน้าร้อน
หลายคนคงจะชื่นชอบในความหอมของน้ำหอมในหน้าร้อนนี้ ซึ่งมีให้เลือกมากมายหลายกลิ่น หลายยี่ห้อ แต่เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่า อุณหภูมิที่ร้อนแรงอย่างนี้อย่างบ้านเราส่งผลให้กลิ่นหอมที่เพื่อนๆ ใช้อยู่เปลี่ยนไปได้ และอาจเปลี่ยนจากกลิ่นหอมที่ชวนหลงใหลเป็นกลิ่นที่ไม่พึงปรารถนา เรามารู้เคล็ดลับการใช้น้ำหอมหน้าร้อนกันเถอะเพื่อส่งความหอมให้ทั่วเรือนกายอย่างไม่ผิดเพี้ยน และเป็นที่พึงปราถนาให้กับคนรอบข้างด้วย
สำหรับหน้าร้อนนี้การเลือกใช้น้ำหอม ควรเลือกลิ่นน้ำหอมแนวสดชื่น เย็นสบาย กลิ่นอ่อนๆ ไม่ฉุนจนเกินไป อาทิ น้ำหอมที่มีส่วนผสมจาก orange blossom, pear, mint, ginseng และ ginger
หากคุณเป็นคนผิวมัน ความร้อนจากอุณหภูมิที่ร้อนแรงจะยิ่งสามารถกระจายกลิ่นน้ำหอมที่คุณใช้ได้แรงกว่า และมากกว่าสภาพผิวอื่นๆ  เพราะฉะนั้นในหน้าร้อนนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณควรเลือกกลิ่นน้ำหอมที่อ่อน ๆ เมื่อฉีดจะได้ไม่ฉุนจนเกินไป
หากเกรงว่ากลิ่นน้ำหอมที่ใช้อยู่นั้นจะแรงไป ให้หยดน้ำหอมใส่สำลีเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อแทน  เพื่อให้กลิ่นหอมอยู่กับเรา และอยู่ได้นานๆ ด้วย หรือ
เติมกลิ่นหอมให้สัมภาระในกระเป๋าหรือผ้าเช็ดหน้า โดยการเอาของที่อยากให้มีกลิ่นหอมมาใส่รวมในกล่องที่ปิดฝาได้ แล้วฉีดน้ำหอมใส่สำลีก้อน แล้วใส่ลงไปในกล่องปิดฝาอบกลิ่นเอาไว้ วิธีนี้ใช้ได้กับเสื้อผ้าในตู้ด้วย ดีกว่าพรมน้ำหอมลงไปบนเสื้อทำให้เกิดรอยด่างที่เสื้อได้   
ฉีดน้ำหอมใส่ฝ่ามือ เวลาจับมือใครจะได้หอมๆ และชวนสัมผัส เพราะหน้าร้อนบางคนจะมีเหงื่อออกที่ฝ่ามือจึงอาจส่งกลิ่นที่ไม่พึงปรารถนาได้
ในกรณีน้ำหอมแบบแต้ม ควรใช้ Cotton Bud แตะน้ำหอมจากปากขวดแทนนิ้วมือ แล้วไปแต้มตามบริเวณจุดชีพจรต่าง ๆ บนร่างกาย เพราะกลิ่นน้ำหอมในขวดจะเปลี่ยนได้ หากได้รับความร้อนจากอุณหภมิจากนิ้วมือของเรา
ถ้าอยากหอมไปทั้งวัน แนะนำให้ใช้ Shampoo, Shower gel, deodorant ที่มีกลิ่นเดียวกับน้ำหอม จะช่วยให้ความหอมอยู่ได้นานมากยิ่งขึ้น
และในหน้าร้อนนี้ เหงื่อออกมาทั่วเรือนกายไม่เว้นแม้แต่เหงื่อบนหนังศีรษะ ดังนั้นเพื่อคงความหอมทั่วเรือนกาย ให้ฉีดน้ำหอมที่ผมโดยห่างประมาณ 1 ฟุต โดยใช้กลิ่นเดียวกับกลิ่นหอมที่ฉีดที่ตัว หรือฉีดสเปรย์น้ำหอมกลิ่นเดียวกันลงบนแปรงหวีผม สเปรย์ห่าง ๆ พอให้ละอองจับบนแปรง แล้วค่อยบรรจงหวีผม แต่แอลกอฮอล์ต่าง ๆ ในน้ำหอมอาจทำให้ผมเสียได้ เพราะฉะนั้นต้องหมั่นทรีตเม้นผมเป็นประจำด้วย

เพียง 8 ข้อนี้กับเคล็ดลับการใช้น้ำหอมหน้าร้อน คุณก็จะเป็นคนที่ใครๆ ปรารถนาอยากจะใกล้ชิดแล้วหละ ด้วยกลิ่นที่ชวนหลงใหลรับฤดูร้อนนี้

น้ำหอมไทย

น้ำหอมไทยโบราณ
ไม่ว่าเวลาจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัย กลิ่นกายที่หอมกรุ่นก็ยังเป็นเสน่ห์ทางกาย และเสน่ห์ทางเพศอันบุรุษและสตรีพึงปรารถนา นับตั้งแต่บรรพบุรุษของเราได้ค้นพบการทำเครื่องหอมจากธรรมชาติ อาทิ น้ำอบ น้ำปรุง แป้งร่ำ แป้งพวง สีผึ้งทาปาก แป้งขมิ้น มาใช้ปรุงแต่งกลิ่นกายให้หอมหวนรัญจวนใจ
เมื่อมีการพัฒนาเทคโนโลยีจากแป้งร่ำที่เคยผัดบนหน้าให้นวลผ่องก็เปลี่ยนมาเป็นแป้งฝุ่นที่สาวๆใช้ตบให้หน้าขาวเด้ง สีผึ้งที่มีให้เลือกไม่กี่สีพัฒนาเป็นลิปสติกหลากเฉดสีให้เลือก กระทั่งน้ำอบ น้ำปรุงที่คนสมัยก่อนใช้ประพรมร่างกาย เสื้อผ้า หรือนำไปใส่บุหงาเพิ่มความหอมเปรียบเสมือนน้ำหอมโบราณก็ค่อยๆหายไป กลายเป็นว่าน้ำหอมต่างประเทศเริ่มเข้ามาเป็นที่นิยมแทนที่
อย่างไรก็ตามยังมีกลุ่มคนที่นิยมของไทยและหลงใหลในกลิ่นของพันธุ์พฤกษา หวนกลับมาให้ความสำคัญกับ "น้ำปรุงดอกไม้"หรือน้ำหอมโบราณของไทย อนุรักษ์ความหอมแบบไทยให้คงอยู่โดยมีกลิ่นอันแสนรัญจวนไม่แพ้น้ำหอมต่างประเทศ
น้ำหอมโบราณจากดอกไม้สด
น้ำปรุงดอกไม้ หรือน้ำหอมโบราณของไทย ใช้ความหอมของดอกไม้หอมหลากหลายชนิด ผสมกับสมุนไพรไทย เช่น พิมเสน ผิวมะกรูด ใบเตย แพร่อานุภาพความหอมไปพร้อมกับการบำรุงสุขภาพ ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ทำให้น้ำปรุงแตกต่างไปจากน้ำหอมต่างประเทศ ซึ่งมีเพียงหัวน้ำหอมสกัดนำมาผสมกันเท่านั้น
เกศภนิศรณ์ เหล่าสินชัย คุณแม่ลูก 2 เจ้าของผลิตภัณฑ์เกศศณีศ์ ผู้หลงใหลในกลิ่นหอมของดอกไม้อันเป็นแรงบันดาลใจให้ศึกษาความเป็นมาและขั้นตอนวิธีการทำน้ำปรุงดอกไม้ไทย
"น้ำหอมต่างประเทศราคาแพง ชอบกลิ่นดอกไม้ไทยๆ หอมสดชื่นจึงเริ่มศึกษาวิธีการทำน้ำปรุงอยู่ 2 ปี กระทั่งปี 2547 จึงหันมาทดลองทำน้ำปรุงเอง แรกๆก็หาวัสดุใกล้ตัว มีด เขียง ผ้าขาวบาง กลีบดอกไม้หอมของไทย"
หญิงสาวค่อยๆอธิบายวิธีการสกัดหัวน้ำหอมจากดอกไม้แต่ละชนิดตรงหน้าให้ฟังว่า
"กุหลาบมีหลายพันธุ์ ไม่นิยมกุหลาบขาว ใช้กุหลาบแดงแบบหอม สกัดเอาสีและกลิ่น ส่วนกุหลาบแดงแบบที่กลิ่นไม่หอมสกัดเพื่อเอาสีอย่างเดียว โดยค่อยๆเด็ดกลีบดอกระวังไม่ให้ช้ำจนหมด นอกจากกลีบดอก กระเปาะเต็มไปด้วยเกสรดอกไม้สามารถนำไปใช้ได้"
"ดอกมะลิ คัดดอกไปลอยน้ำแช่ทิ้งไว้ตอนกลางคืน โดยไม่ให้ชิดกันมาก พอรุ่งเช้าดอกบานก็ตักทิ้ง แล้วนำดอกมะลิชุดใหม่โรยแช่ทิ้งไว้ เย็นใส่ใหม่ รุ่งเช้านำออกมาทำซ้ำกัน 3 ครั้งจะได้น้ำดอกมะลิหอมๆทำเป็นส่วนผสมของน้ำปรุง ดอกปีบแช่น้ำก็มีกลิ่นหอม ช่วงเย็นๆการเวกกำลังออกดอกส่งกลิ่นหอมก็เก็บมาแช่ไว้"
ดอกไม้หอมอย่างอื่นที่โบราณนำมาสกัดเป็นหัวน้ำหอมกลิ่นต่างๆได้แก่ ดอกปีบ กระดังงา ราชาวดี พิกุล ลำเจียก ซึ่งหญิงสาวบอกว่าปัจจุบันลีลาวดีหรือดอกกล้วยไม้ก็สามารถนำมาสกัดหัวน้ำมันหอม แต่ได้ในปริมาณไม่มากเช่นเดียวกับดอกบัว ในจำนวนดอกไม้หอมทั้งหมด ดอกจันทน์กะพ้อจัดว่าหายากออกดอกเพียงปีละครั้งจึงนำมาแช่แอลกอฮอล์ทิ้งไว้จนเหลืองส่งกลิ่นหอมจึงจะนำออกมาเก็บใส่กระปุกเก็บไว้รอนำออกมาปรุง
เกศภนิศรณ์ชี้ไปยังขวดโหลขนาดต่างๆกันภายในบรรจุน้ำสมุนไพร พิมเสน ชะมดเช็ด เรียงรายเป็นระเบียบข้างๆขวดบรรจุหัวน้ำหอมดอกไม้ไทยกลิ่นต่างๆ พร้อมกับอธิบายว่าทั้งหมดคือส่วนผสมหลักในการทำน้ำปรุงดอกไม้
หญิงสาวคนเดิมอธิบายต่อไปพร้อมกับลงมือสาธิตให้การทำน้ำปรุงให้ดู เริ่มจากขั้นตอนการสกัดน้ำสมุนไพรจากใบเตยและผิวมะกรูด เลือกใบเตยชนิดหอม ใบแก่ๆมาหั่นขนาด 1-2 เซนติเมตร แช่ทิ้งไว้ในน้ำแอลกอฮอล์ประมาณ 1-2 ชั่วโมง จึงตักออกมาพร้อมกับใส่ใบเตยชุดใหม่ลงไป หากต้องการกลิ่นหอมมากก็ทำซ้ำกันหลายครั้ง จากนั้นหั่นผิวมะกรูดลงไปแช่ 2-3 ครั้ง จึงกรองออกมาก็จะได้น้ำแอลกอฮอล์สีขาวเป็นสีเขียวเข้ม
ขั้นตอนต่อไปใส่พิมเสนลงในน้ำสมุนไพร จากนั้นใช้ไม้จิ้มชะมดเช็ดขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียวใส่ลงไปในใบพลูพร้อมกับผิวมะกรูด เพื่อทำการสะตุหรือการฆ่าเชื้อให้สะอาด
"ชะมดเช็ดขวดนิดเดียว 15 กรัมราคาพันกว่าบาท" เกศภนิศรณ์เล่าให้ฟัง ขณะที่ใช้เทียนลนไฟใต้ใบพลู เมื่อชะมดเช็ดละลายคะเคล้าผิวมะกรูด เปลี่ยนจากกลิ่นเหม็นคาวส่งกลิ่นหอมโชยมาแตะจมูกเป็นสัญญาณให้หยุดการลน พร้อมกับใส่ลงไปในน้ำสมุนไพร
ขั้นตอนหลังจากนี้เป็นการนำเอาน้ำสมุนไพรดังกล่าวมาผสมกับหัวน้ำหอมดอกไม้ ส่วนจะเป็นกลิ่นอะไรบ้างนั้นขึ้นอยู่กับนาสิกในการรับกลิ่นของแต่ละคนว่าจะชอบกลิ่นไหน บางคนอาจจะใส่กลิ่นเดียว หรืออาจจะนำเอาหลายๆกลิ่นมาผสมเข้าด้วยกัน แล้วจึงเขย่าให้เป็นเนื้อเดียวกัน ทิ้งไว้ 1 เดือนเพื่อให้หมดกลิ่นแอลกอฮอล์ นำมากรองให้ใส ใส่ขวดบรรุจุภัณฑ์เพื่อความสวยงาม
เพื่อความพิเศษกว่าน้ำหอมน้ำปรุงทั่วไป เกศภนิศรณ์ เผยว่าเธอได้นำเอาว่านสาวหลง ซึ่งเป็นว่านสิริมงคล แถมยังมีกลิ่นหอมใส่รวมไปด้วย "คิดว่าทำแล้วก็น่าจะทำไม่เหมือนใคร มีทั้งความหอมและเป็นสิริมงคลอยู่ในตัว"
เมื่อนำไปวางจำหน่าย น้ำปรุงที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้ามากที่สุดคือกลิ่นดอกไม้รวม รองลงมาคือกลิ่นดอกราชาวดี และกลิ่นดอกปีบ
"คนส่วนใหญ่ชอบน้ำหอมต่างประเทศ คนสมัยใหม่พอเห็นน้ำปรุงดอกไม้ไทยก็จะงงว่าคืออะไร แต่เท่าที่ลูกค้าตอบรับกลับมาก็ดี บางคนซื้อไปแตะเสื้อติดทั้งวัน หรืออย่างกลุ่มแม่บ้านเกษตรนิยมนำไปฉีดผ้าไหม กลับมาเล่าให้ฟังว่าเป็นที่ชื่นชอบของฝรั่ง ไปขายรามคำแหง เด็กวัยรุ่นชอบมาก ซื้อแล้วกลับมาซื้ออีก บางคนซื้อขวดเล็กขวดละ 40 บาทกลับไปหลายแพ็ก บางคนสั่งซื้อขนาด 20 ซีซี หรือ แพ็กคู่ 350 บาทถือว่าแพงสุดในร้าน ยอดขายถือว่าพออยู่ได้ ถ้ามีการตลาดดีๆคงเพิ่มยอดขาย" หญิงสาวเผยความในใจทิ้งท้ายว่า "ทำตรงนี้ภูมิใจที่ได้อนุรักษ์ของไทยๆ มันเป็นของไทยที่คนลืมไปแล้ว เรามารื้อฟื้น"
น้ำปรุงดอกไม้กลิ่นอโยธยา ล้านนา ฯลฯ
จันทนา ภู่เจริญ อาจารย์คณะคหกรรม วิทยาลัยอาชีวศึกษา พระนครศรีอยุธยา เป็นอีกคนหนึ่งที่สนใจศึกษาเรื่องของเครื่องหอม ส่วนหนึ่งในวิชาที่เธอใช้สอนลูกศิษย์ กระทั่งปรุงออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ "บ้านเก้ากลิ่น"
"ทำมา 10 กว่าปี โดยหน้าที่เป็นครูสอนวิชาเครื่องหอม ประกอบกับช่วงที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศฉลองอยุธยาเป็นมรดกโลก จึงได้ค้นคว้าเรื่องเครื่องหอมอย่างจริงๆจังๆ พบว่ามีมาตั้งแต่อยุธยา ตอนกลาง แต่เป็นการกล่าวถึงน้ำอบปรากฏในวรรณคดี ใบลาน ช่วงบ้านเมืองเจริญใช้น้ำอบไทย อบร่ำสไบ เจ้านายในวังนิยมใช้อบผ้า พอถึงรัตนโกสินทร์ตอนกลางมีการติดต่อสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ พร้อมกับนำเข้าแอลกอฮอล์ พัฒนาจากน้ำอบมาเป็นน้ำปรุง"
อาจารย์จันทนาอธิบายการทำน้ำอบ เครื่องหอมในสมัยโบราณต่อไปว่า " อยุธยาใช้ความร้อนเรียกว่าอบร่ำ พอถึงรัชกาลที่ 5 ถึงเริ่มมีการกลั่นได้รับอิทธิพลจากฝรั่งเศส บีบคั้นกับพืชที่มีเปลือกค่อนข้างหนา กลิ่นออกมาตามเซลล์ของผิว เช่นมะกรูด การใช้ความร้อน เช่นกระดังงา เอาไฟไปลนกระเปาะใต้กลีบให้ละลายน้ำมันหอมออกมา การใช้ไขมันวัวบริสุทธิ์ดูดกลิ่นดอกไม้ และพัฒนาการล่าสุดกับวิธีการใช้คาร์บอนไดออกไซด์เหลวเป็นที่นิยมเพราะให้ปริมาณของกลิ่นเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ราคาแพง"
จากปี 2530 ที่เธอเริ่มทำหน้าที่แม่พิมพ์ จำนวนดอกไม้ที่ใช้สอนมีเพียง 9 ชนิดได้แก่กุหลาบ มะลิ ลำเจียก พิกุล ชำมะนาด กระดังงา ดอกแก้ว พุทธชาด พิกุล จันทน์กะพ้อ ปัจจุบันเธอบอกว่าเพิ่มขึ้นเป็น 50-60 กว่าชนิด อย่างไรก็ตามเพื่อให้ทันกับความต้องการของตลาด ซึ่งต้องใช้ดอกไม้สดจำนวนมากด้วยเหตุนี้การนำดอกไม้สดมาใช้จึงมีให้เห็นน้อยลง คุณสมบัติของน้ำปรุงที่ดีต้องมีลักษณะสีเขียวใสมรกต มีกลิ่นหอมเย็น ไม่มีตะกอน กลิ่นติดทนนานเกิน 1 ชั่วโมง
"ใช้ดอกไม้จริงทำเป็นธุรกิจไม่ทัน กุหลาบ 1 ตันสกัดน้ำมันหอมระเหยได้ 2.2 กิโลกรัม จึงใช้ดอกไม้น้อยลง หันมาซื้อหัวน้ำมันสกัดสำเร็จมาปรุงแทนดอกไม้ไทยเดี๋ยวนี้ใช้โครงสร้างกลิ่น เลียนแบบดอกไม้จริงโดยใช้โครงสร้างทางเคมี ประกอบด้วย คาร์บอนไดออกไซด์ ออกซิเจน ไฮโดรเจน" นอกจากนี้หัวน้ำมันหอมบางชนิดยังต้องนำเข้าจากตุรกีและเมืองน้ำหอมอย่างฝรั่งเศส
เธอเล่าถึงความนิยมน้ำหอมแบบไทยๆว่า "เหมือนแฟชั่นขายได้ทุกกลิ่นพอๆกัน น้ำปรุงขายดีในงานวัฒนธรรม น้ำปรุงไม่นิยมโดด ไม่ใช้กลิ่นดอกไม้โดดๆ แต่จะใช้แต่ละกลิ่นชูโรง หลักๆ 3 กลิ่นตัวน้ำหอม ตัวตามและตัวท้าย ถ้าปรุงผิดกลิ่นเปลี่ยนต้องดูว่าจะให้กลิ่นอะไรนำ กลิ่นอะไรตามท้าย กลิ่นช่วยผสมผสานให้กลิ่นอื่นๆโชยออกมาแล้วปรุงตามนั้น"
"กลุ่มผู้บริโภคมีหลายกลุ่ม วัยรุ่นปรุงกลิ่นทันสมัย กำลังลองผสมผสานการปรุงด้วยดอกไม้ภาคต่างๆออกมาเป็นน้ำหอมตามภาคเช่นกลิ่นภาคเหนือ สุโขทัย อโยธยา ลับแล กลิ่นภาคเหนือเรียกว่ากลิ่นล้านนาปรุงออกมาให้สัมผัสได้ถึงดอกไม้ป่า ไอหมอก ความเย็น ส่วนกลิ่นสุโขทัยจะเป็นกลิ่นของสายน้ำ กลิ่นภาคอีสานยังไม่ได้นำรู้ว่ามีรากฐานวัฒนธรรมมาจากบ้านเชียง ก็จะทำกลิ่นหินดินทราย ตีโจทย์วัฒนธรรมประเพณีในแต่ละภาค รวมถึงดอกไม้ประจำภาคนำมาทำกลิ่นถามว่าใช่น้ำปรุงหรือไม่ คิดว่ากลายๆ ความเชื่อของคนน้ำหอมจะดูดีกว่าน้ำปรุง ซึ่งมองว่าเชยๆโบราณ ความรู้สึกไม่ทันสมัย จึงเรียกชื่อใหม่แต่ก็ยังเป็นน้ำปรุงอยู่ ทำอย่างไรให้คนนิยมของไทย ประกาศให้น้ำปรุงภูมิปัญญาไทยเป็นที่นิยม"
น้ำปรุงดอกไม้ในตลาดน้ำหอม
รวิวรรณ รุ่งเรือง เจ้าของร้านพีรญาแสดงความเห็นถึงความนิยมว่า "น้ำปรุงจริงๆก็คือน้ำหอมของคนโบราณที่ใช้ปะพรมร่างกาย หรือใส่ในบุหงา กลิ่นจะเข้มข้น ให้ความรู้สึกวังเวง บ้างรู้สึกหอมชื่นใจ โบราณเอาดอกไม้มาแช่แอลกอฮอล์ใช้เวลานานเป็นเดือน ปัจจุบันลัดขั้นตอนด้วยการนำเอาน้ำมันหอมมาใช้ผสมกัน ส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้ใช้น้ำมันหอมดอกไม้แทนดอกไม้สด ทำให้เกิดความเพี้ยนจากน้ำปรุงมาเป็นน้ำหอม"
"สงครามโลกครั้งที่ 2 น้ำหอมต่างประเทศเข้ามามาก แทบไม่ต้องโฆษณา เป็นค่านิยมว่าโก้หรู ส่วนใหญ่แทบจะลืมน้ำอบน้ำปรุงกันแล้ว ออกจำหน่ายกลุ่มคนอนุรักษ์ไทยนำไปใช้ พอคนใกล้ชิดได้กลิ่นหอมชื่นใจจึงมาซื้อไปใช้บ้าง วิธีการนำไปใช้โดยหยดใส่ผ้าเช็ดหน้าเพื่อให้เจือจางหอมอ่อนๆ เวลาโชยมาหอมชื่นใจ มีเอกลักษณ์ไทยๆส่วนผสมของมะกรูด ใบเตย พิมเสน เมื่อดมแล้วให้ความรู้สึก โอ้โห้ ไทยมาก ชาวต่างชาตินิยมซื้อเป็นลิตร ซื้อไปกลับมาซื้ออีกถึงกับขอสูตร กลิ่นน้ำปรุงที่นิยมได้แก่กลิ่นจันทร์กะพ้อ กลิ่นรสสุคนธ์ และกลิ่นดอกปีบ"
สำหรับอาจารย์จันทนาแสดงความเห็นทิ้งท้ายถึงความนิยมน้ำหอมดอกไม้ไทยว่า "ขายความเป็นไทย ถือเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ดี ตราบใดที่คนยังติดในรูปรสกลิ่น"

ขวดน้ำหอม

รูปแบบของขวดน้ำหอม
            สมัยเมื่อ 4000 ปีก่อนคริสตกาล ชาวอียิปต์โบราณได้ค้นพบวิธีการผลิตแก้ว และกว่าศตวรรษที่เขาได้มีการพัฒนาเทคนิคต่าง ๆ ในการผลิตขวด โดยการเคลือบส่วนในสุดที่เป็นดินเหนียวที่ติดอยู่ปลายแท่งโลหะด้วยแก้วในขณะที่ถูกหลอมเหลว และเอาแกนดินเหนียวออกในขณะที่แก้วเย็นลงและแข็งขึ้นจวบจนปี 1500 ก่อนคริสตกาล มีการใช้ทักษะในการผลิตขวดแก้วน้ำหอมมากขึ้น ส่วนมากจะใช้ แก้วสีน้ำเงินเข้ม สีโอปอ หรือสีใส ตกแต่งลวดลายเป็นลายเส้นซิกแซ็ก สีน้ำเงิน ขาว เหลือง ในยุคของ Lalique Falcons

            เราอาจเชื่อได้ว่าช่วงเวลานั้นขวดแก้วเครื่องหอมจะต้องเป็นสิ่งของที่หรูหรามาก เฉกเช่นเดียวกับสิ่งที่มันบรรจุอยู่ แต่น้ำหอมได้ถูกผลิตและเก็บรักษาไว้ในภาชนะกว่าร้อยปีมาแล้ว 

            ภาชนะเหล่านี้ที่ถูกผลิตขึ้นมาก่อนหน้านี้ ใน Terra Cotta มีไว้สำหรับใส่ของเหลวที่มีราคา แต่ต่อมาแสดงถึงความมั่งคั่ง โดยแกะสลักจากหินปูน หินโมรา และ porphyry ซึ่งมีคุณสมบัติดีเป็นอย่างยิ่งในการที่สามารถเก็บรักษาความเย็น และชะลอการเกิดการเหม็นหืนของส่วนผสมที่เป็นน้ำมันได้เป็นอย่างยิ่ง


            สารเหล่านี้ได้ถูกใช้ต่อเนื่องมาตั้งแต่ยุคกรีกและโรมัน แต่ในเรื่องของการออกแบบกลับช่ำชองมากยิ่งขึ้น ขวดน้ำหอมของกรีกหลายแบบถูกพบว่าทำเป็นเครื่องเคลือบรูปร่างนก สัตว์ หรือศรีษะของมนุษย์ เป็นต้น จนประมาณ 50 ปีก่อนคริสตกาล ในการพัฒนาการเป่าแก้วในซีเรีย (เป็นการทำให้แก้วเปลี่ยนรูปร่างได้ก่อนที่จะทำให้มันเย็นตัวลง) เป็นช่วงที่มีการใช้เทคโนโลยีเป็นอย่างมาก ยิ่งกว่านั้น เมื่อกรรมวิธีในการทำแก้วให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นด้วยการเป่าแก้วลงในแบบ (mold) เพื่อการผลิตแก้วในรายการที่เหมือน ๆ กันสามารถทำซ้ำกันได้

           ส่วนขวดน้ำหอมของโรมันเป็นขวดแก้วใส ตกแต่งด้วยแก้วสีอีกทีหนึ่ง และมีรูปทรงที่หลากหลาย ตลอดจนการออกแบบที่แสดงให้เห็นถึงมาตราฐานความชำนาญในการทำ แต่สิ่งเหล่านี้มีมูลค่าแพงมาก ผู้คนส่วนใหญ่เก็บรักษาขวดที่มีการเคลือบผิวแบบธรรมดากันไว้ ซึ่งมักเป็นรูปร่างเปลือกหอยที่เป็นดินเผา 

           ในยุคกลางภาชนะโลหะและเครื่องเคลือบกระเบื้องก็เกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้ถูกนำมาผลิตเป็นขวดน้ำหอม จนกระทั่งศตวรรษที่ 18 วัสดุในการผลิตขวดน้ำหอมใหม่ ๆ ก็ถูกนำมาใช้ประโยชน์มากขึ้น เมื่อโรงงานผลิตเครื่องเคลือบของชาวจีนได้ถูกค้นพบขึ้น จากโรงงานที่ Meissen ในเยอรมัน, Sevres ในฝรั่งเศส, Chelsea ในอังกฤษ และ แม้แต่ขวดน้ำหอมที่ทำจากกระเบื้องเคลือบที่ตกแต่งลวดลายต่าง ๆ ก็เริ่มปรากฏเป็นเครื่องประดับบนโต๊ะในบ้านตามสมัยนิยม แต่แก้วยังคงเป็นวัสดุที่โดดเด่นที่สุดในการผลิตขวดน้ำหอม สิ่งหนึ่งก็คือว่า น้ำมันหอมระเหยในน้ำหอมจะเกิดปฏิกริยากับภาชนะที่เป็นเครื่องเคลือบกระเบื้อง (Porcelain) ในทางกลับกันสำหรับภาชนะอื่น ๆ แล้ว ก็ยากที่จะผลิตจุกขวดที่ทำจากกระเบื้องเคลือบ (Porcelain) ให้มีเสถียรภาพได้ ซึ่งจำเป็นต่อการผลิตในโรงงานผลิตที่มีขนาดใหญ่

perfume bottle

ไขความลับในขวดน้ำหอม
ใครจะคิดว่าอุตสาหกรรมน้ำหอมจะทำรายได้ได้ถึงปีละกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญอเมริกันเมื่อก้าวเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ ว่ากันว่า ณ วันนี้ผู้หญิงทั่วโลกใช้น้ำหอมเฉลี่ยถึงคนละ 6 กลิ่น นอกเหนือไปจากน้ำหอมกลิ่น “พิเศษ” ที่แต่ละคนจะไม่ยอมบอกใครเป็นอันขาดถึงน้ำหอมกลิ่นลับสุดยอดของตัวเอง
      
  
Grasse เมืองแห่งน้ำหอมของฝรั่งเศส


       และใช่เพียงแต่ผู้หญิงเท่านั้นปัจจุบันผู้ชายอย่างน้อยกว่าร้อยล้านคนทั่วโลกต่างก็เป็นผู้บริโภคน้ำหอมกันโดยถ้วนหน้า เรียกว่าใช้กันไม่แพ้ผู้หญิงเลยทีเดียว เพราะนอกจากพ่อเจ้าประคุณทั้งหลายจะใช้น้ำหอมกลิ่นอ่อนๆหลังอาบน้ำประเภท eau de toilet แล้ว น้ำหอมหลังโกนหนวดก็ยังเป็นสินค้าที่ขายดีติดอันดับด้วยเช่นเดียวกัน
      
       ตั้งแต่ยุคโบราณมนุษย์เริ่มรู้จักนำเครื่องหอมมาใช้เพื่อระงับกลิ่นกาย ภายหลังการชำระล้างร่างกายก่อนที่จะทำการบวงสรวงเทพเจ้าพื่อให้ร่างกายมีกลิ่นที่สดชื่น และจากการใช้กลิ่นหอมเหล่านี้ผลพลอยได้ก็คือผู้ที่อยู่รอบข้างเมื่อได้กลิ่นก็เกิดความนิยมชมชื่นใช่เพียงแต่เพื่อเทพเจ้าเท่านั้น ผู้ที่ใกล้ชิดที่สุดก็คือผู้เป็นชายาหรือสวามีของผู้ใช้ซึ่งล้วนเป็นบุคคลชั้นปกครองนั่นเอง
      
       จากนั้นได้มีการจำแนกกลิ่นของหอมจากแหล่งที่มาต่าง ๆ ทั้งดอกไม้ พืช ดินบางชนิดไปจนถึงกลิ่นที่มาจากสัตว์ นำมาสกัดและใช้ผสมกับน้ำมันเพื่อสะดวกในการแต่งแต้มไปบนส่วนต่างๆของร่างกาย ซึ่งค้นพบในเวลาต่อมาว่ากลิ่นของน้ำมันหอมจะเปลี่ยนไปตามกลิ่นเหงื่อและอุณหภูมิของผู้ใช้

 
ขวดน้ำหอมสไตล์ฝรั่งเศส

 

       การใช้เครื่องหอมนอกจากจะเป็นการเพิ่มเสน่ห์ให้กับผู้ใช้แล้วยังเป็นการช่วยผ่อนคลายความเครียดและความว้าวุ่นทางอารมณ์ได้ด้วย จึงมีการนำเครื่องหอมมาใช้ในการบำบัดภาวะทางจิตเป็นบางกรณี อันเป็นต้นกำเนิดของการใช้สุวคนธ์บำบัด
      
       การค้าเครื่องหอมเริ่มมีความสำคัญทีละน้อย จากเดิมที่นิยมกันตามท้องถิ่นนั้น ๆ จนเมื่อการคมนาคมเจริญขึ้นทำให้เกิดความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากดินแดนในทวีปต่างๆ การเดินทางของเครื่องหอมได้เพิ่มมูลค่าอย่างไม่มีขีดจำกัด เครื่องหอมเหล่านี้จึงกลายเป็นสินค้าประเภทฟุ่มเฟือยมาแต่โบราณกาล แต่ปริมาณการผลิตยังไม่มากเท่ากับความต้องการของผู้ใช้จึงทำให้การตั้งราคาเป็นไปตามความพอใจของผู้ขายมากกว่าผู้ซื้อ
       ดังนั้นจึงเริ่มมีการนำกลิ่นหอมต่างๆมาผสมขึ้นด้วยกลเม็ดและความชำนาญอันเกิดจากประสบการณ์ ตลาดเครื่องหอมจึงเป็นตลาดของชนชั้นสูงเท่านั้น
      
       การตั้งห้องทดลองเพื่อค้นคว้า สกัดกลิ่น และผสมเครื่องหอมต่างๆเริ่มแพร่หลายในยุคต่อมาจนกระทั่งถึงยุคกลาง จากนั้นในยุคของศตวรรษที่ 16 เริ่มมีการนำน้ำหอมมาผสมกับสารอื่นๆเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ที่ต่างกันออกไป เช่นใช้กับเครื่องเรือน ถุงมือ พัด จนถึงการนำไปผสมกับผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ใช้ในห้องน้ำเช่นสบู่หอม น้ำยาบ้วนปาก

ขวดน้ำหอมทำจากเซรามิกลวดลายงดงาม



       หลังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมยุโรปทั้งทวีปเข้าสู่ยุคทองของเศรษฐกิจที่เจริญก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว ความมั่งคั่งได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งทวีป จึงมีการผลิตน้ำหอมออกสู่ท้องตลาดในผลิตภัณฑ์บรรจุที่งดงาม มีทั้งการออกแบบขวดและภาชนะบรรจุอย่างประณีต มีการนำขวดแก้วเจียรนัยจากหินผลึกทั้งขาวใสและสีต่างๆ ประดับด้วยลวดลายที่เขียนจากทองคำ จนกลายเป็นสินค้าที่หรูหราที่เหล่าสตรีผู้สูงศักดิ์และมั่งคั่งจะต้องเสาะหามาประดับห้องน้ำและโต๊ะกระจกเครื่องแป้ง
      
       นักเคมีชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ปรับปรุงน้ำหอมจากน้ำหอมแบบโบราณให้เป็นน้ำหอมที่ทันสมัยด้วยความรู้และความสามารถ ประกอบกับความพิถีพิถันละเอียดลออ ทำให้น้ำหอมของฝรั่งเศสเริ่มเป็นที่กล่าวขวัญและต้องการในศตวรรษที่ 20 จากการตั้งชื่อกลิ่นของน้ำหอมในเชิงโรแมนติค ทั้งยังมีการออกแบบขวดบรรจุและฉลากปิดที่งดงาม มีการออกแบบที่ละเมียดละไมผิดจากผลิตภัณฑ์อื่น สินค้าเหล่านี้กลายเป็นของที่ระลึกและของฝากที่สตรีทั่วโลกร่ำร้องที่จะเป็นเจ้าของ
อีกรูปแบบหนึ่งขวดน้ำหอม
 

       เมือง Grasse ในแคว้น Provence ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งการผลิตน้ำหอมของฝรั่งเศส กลิ่นหอมจากดอกไม้และพืชนานาชนิดถูกนักผสมน้ำหอมหรือ Le Nez ทำการผลิตจากการผสมกลิ่นหอมต่างๆ และมีการตั้งชื่อด้วยคำจากภาษาวรรณกรรมหรือบุคคลเป็นส่วนใหญ่ จนเริ่มมีร้านขายน้ำหอมเปิดจำหน่ายเป็นร้านเฉพาจากเดิมที่จำหน่ายร่วมกับเวชภัณฑ์ โดยมีการตกแต่งร้านขายน้ำหอมอย่างดงามด้วยกระจกเงาและสีสันที่อ่อนโยน จนทุกคนเป็นต้องเหลียวมองเมื่อเดินผ่าน
      
       เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ทหารต่างชาติทุกชาติทุกหน่วยต่างพากันซื้อน้ำหอมของฝรั่งเศสติดไม้ติดมือกลับบ้านเพื่อเป็นของฝากและของที่ระลึกให้กับภรรยา คู่รัก มารดา และพี่สาวน้องสาว น้ำหมอจึงกลายเป็นสิ่งที่สร้างความพอใจให้ผู้รับทุกคนเป็นอย่างยิ่ง ส่งผลให้บริโภคน้ำหอมของชาวอเมริกันพุ่งขึ้นสูงสุดในยุคร็อค แอนด์ โรล นี้เอง
       และนับแต่นั้นเป็นต้นมาอุตสาหกรรมน้ำหอมในอเมริกาก็เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แม้จะเป็นกลิ่นที่สังเคราะห์ขึ้นด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ แต่ราคาก็ต่างจากน้ำหอมของฝรั่งเศสอย่างมาก จนทำให้น้ำหอมของอเมริกันเริ่มเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย สามารถแบ่งตลาดน้ำหอมของฝรั่งเศสได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ และยังครองใจวัยรุ่นได้เกือบทั่วโลกจากการแพร่ในลักษณะของสื่อแฝงทั้งภาพในสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ และภาพยนตร์
  
จากน้ำหอมต่อยอดมาถึงผลิตภัณฑสปา

       การเติบโตของอุตสาหกรรมน้ำหอมเริ่มจะอิ่มตัวในปลายศตวรรษที่ 20 แต่แล้วการเปิดตัวของ spa และ therapy house ต่างๆได้กลายเป็นตัวกระตุ้นให้ตลาดเครื่องหอมกลับแตกยอดต่อไปได้อย่างงดงาม
       เมื่อผลิตภัณฑ์เครื่องหอมถูกผลิตออกมาในรูปแบบแปลกๆใหม่ ทำให้ยอดของการบริโภคเครื่องหอมเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ และผลิตภัณฑ์ต่างๆล้วนถูกบรรจุในภาชนะบรรจุที่ถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน ผสมผสานกับความรู้ในเชิงจิตวิทยาที่เย้ายวนความต้องการของผู้ชื้อ จนตลาดเครื่องหอมทั่วทั้งโลกถูกกระตุ้นด้วยแรงซื้ออย่างมหาศาลอีกตรั้ง สวนทางกับตลาดสิ่งฟุ่มเฟือยต่างๆอย่างเห็นได้ชัด
      
       ทุกวันนี้ประเทศผู้ผลิตต่างระดมนักวิชาการและนักการตลาด พัฒนาสรรพความรู้และความสามารถอย่างเต็มที่ เพื่อชิงส่วนแบ่งของตลาดสินค้าชนิดนี้ให้ได้มากที่สุด เพราะสินค้าเครื่องหอมยังคงมีอนาคตที่สุดสดใสนั่นเอง

วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554